ทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีอรรถรส จนเหมือนลืมว่ามีฉันอยู่ตรงนี้ไปแล้ว ยืนลังเลครู่หนึ่งว่าจะอยู่ต่อหรือไปช่วยขายของต่อดี
“แล้วแตงล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
พี่ว่านหันหน้ามาถาม
“อะ เอ่อ”
“งั้นแม่ไปช่วยพ่อขายของก่อนดีกว่า แตงอยู่คุยกับพี่เขาไปก่อนนะจ๊ะ”
เกิดสถานการณ์น่าอึดอัดขึ้นกะทันหัน
จู่ ๆแม่ก็เกิดอยากไปขายของต่อ ทำให้ในตอนนี้จึงเหลือแค่ฉันกับพี่ว่านสองคนอยู่บนโต๊ะ
พอเจอสายตาของคนที่อยู่ตรงหน้ามองอยู่ ฉันก็ทำตัวไม่ถูกแก้เขินด้วยการมองนั่นมองนี่ไปพลาง
“ว่ายังไง ทำไมไม่ตอบพี่ล่ะ”
“อะ อ๋อ ก็ดีนะจ๊ะ เรื่อย ๆไม่ได้มีอะไรพิเศษ”
ฉันพูดอ้อมแอ้มพยายามไม่มองหน้ามีว่านมาก
“พึ่งเรียนจบมัธยมใช่ไหม คิดหรือยังว่าจะเรียนอะไรต่อ”
“ใช่จ้ะ แตงยังไม่แน่ใจเลยพี่ว่าน แต่ก็มีคิด ๆไว้อยู่”
“อืมม มีอะไรปรึกษาพี่ได้นะ เพราะไหน ๆก็จะย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว”
“ขอบคุณนะจ๊ะ”
.
.
.
จากนั้นก็เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง ที่จริงภายในใจฉันก็มีเรื่องพูดคุยอยู่มาก เพียงแต่ว่าแค่ไม่ทันตั้งตัวเรื่องที่จะได้มาเจอกันเร็วแบบนี้
“มีอะไรอยากถามพี่หรือเปล่า”
สงสัยสีหน้าฉันคงจะดูออกง่ายเกินไป ฉันยิ้มแหยะอีกครั้ง พลันเหลือบมองคนตรงหน้าที่กำลังอมยิ้มขำอยู่
“แล้ว..พี่เป็นยังไงบ้างเหรอจ๊ะ”
จนในที่สุดฉันจึงตัดสินใจเอ่ยถามไป พี่ว่านทำหน้าครุ่นคิดกับคำถามนั้นพักใหญ่
“อืม..สิบปีที่ผ่านมาเหรอ ก็มีทั้งดีและไม่ดีนะ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน มีเยอะแยะจนนับไม่ถ้วนเลยล่ะ แต่คิด ๆดูก็แล้วสนุกดีเหมือนกัน ได้ประสบการณ์มาเรียนรู้แล้วเอามาใช้ในอนาคตต่อ”
“อ๋ออ…พี่ว่านเรียนครูใช่ไหมจ๊ะ เรียนจบแล้วก็เรียกครูพี่ว่านได้แล้วสิ”
“ฮ่ะ ๆๆ อย่าพึ่งถึงขนาดนั้นเลยแตง เรียกแบบนั้นพี่เขินแย่”
“ฉันพูดเรื่องจริงนี่จ๊ะ”
“จะว่าไป ก็คิดถึงเราตอนเด็กๆ เหมือนกันนะ ตอนนั้นแตงยังตัวเท่าอกพี่ ตอนนี้ก็ยังเท่าอกพี่เหมือนเดิม”
“พี่ว่าน!”