“แต่เห็นคุณตามหามานานและอยากได้เล่มนี้จริงๆผมขายให้ก็ได้” เขายังเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจดีและรอยยิ้มอีกเช่นเดิม ทำไมรอยยิ้มถึงได้ละมุนขนาดนี้กันนะ
“ ขอบคุณมากนะครับ ” ผมตะโกนดังลั่นด้วยความดีใจ หลังจากนั้นเราก็คุยกันเรื่องวรรณกรรมเล่มนั้นและเรื่องอื่นอีกนิดหน่อย ผมยังคงสังเกตไปรอบๆร้านที่มีแต่แก้วไวน์ประดับอยู่ ในแต่ละโซนจะมีแก้วไวน์ที่รูปทรงแตกต่างกัน ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมร้านหนังสือถึงได้มีแต่แก้วไวน์แบบนี้กันนะ โดยปกติแล้วถ้าไม่ใช่ร้านขายไวน์หรือคนที่ชื่นชอบในการดื่มไวน์มากๆคงไม่มีแก้วไวน์เยอะขนาดนี้
“ ทำไมคุณถึงเลือกประดับร้านหนังสือด้วยแก้วไวน์ล่ะครับ ” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย
“ ผมชอบที่แก้วไวน์แต่ละใบมันมีไว้สำหรับไวน์แต่ละขวดน่ะครับ ถึงแม้จะใช้แก้วอื่นแทนได้ แต่กลิ่นก็คงไม่ดีเท่า ”
“ คุณชอบดื่มไวน์ด้วยหรอครับ ”
“ชอบครับ แล้วคุณล่ะ”
เขาตอบผมว่าชอบไวน์แล้วทำไมผมถึงรู้สึกใจเต้นแปลกๆ
“ผมก็ชอบเหมือนกันครับ คุณอยู่แคว้นนี้มานาน พอจะแนะนำให้ผมบ้างได้ไหมครับ”
ไม่รู้ว่าด้วยความเป็นเจ้าของร้านนำเข้าไวน์หรือด้วยความอยากรู้จักคนตรงหน้ามากขึ้นผมถึงถามคำถามนั้นออกไป
“ได้สิ วันเสาร์ร้านผมปิดพอดี คุณอยากไปเที่ยวไร่องุ่นไหม ที่นั่นมีไวน์ปีเก่าๆที่น่าชิมอยู่เหมือนกัน”
เขาเอ่ยด้วยแววตาใจดีและยิ้มละมุนอยู่เช่นเดิม ตอนนี้คงเป็นผมเองที่แปลก รู้สึกร้อนที่หน้า ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเอาซะเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นเต้นที่ไม่เคยเจอคนใจดีขนาดนี้มาก่อน หรือเป็นเพราะหลงรักรอยยิ้มละมุนกับความอบอุ่นของเจ้าของร้านทาสแมวคนนี้กันแน่ ถ้าเป็นอย่างหลังผมคงต้องพึ่งอานุภาพของเครื่องรางทั้งหมดที่แม่ให้มาเพื่อให้สมหวังแล้วล่ะ
หลังจากที่เรานัดแนะวันเวลาสถานที่กันเรียบร้อยผมก็รีบกลับที่พักจนลืมถามชื่อเจ้าของร้านหนังสือทาสแมวคนนั้นไปเลย เราคุยกันถูกคอจนลืมถามชื่อกันและกันเลยหรอเนี่ย เอาไว้ครั้งหน้าค่อยถามแล้วกัน
ผมยังคงแวะไปที่ร้านนั้นบ่อยครั้ง ไปเล่นกับแมวบ้าง ไปหาซื้อหนังสือบ้าง ไปคุยกับเจ้าของร้านทาสแมวคนนั้นบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าจะหนักไปทางคุยกับเจ้าของร้านมากกว่าไปอ่านหนังสือซะอีกจนทำให้ผมสนิทกับเจ้าของร้านไปแล้ว แต่ก็คุยกันเพลินจนผมลืมถามชื่อเขาอีกอยู่ดี