แล้วพ่อก็ตอบว่า
“เรารู้ดีว่าเราสอนลูกของเราไม่ได้ เพราะอย่างนั้นเราจึงส่งลูกมาเรียนที่นี่ อย่างน้อยให้เขาได้เจอครูที่จะช่วยขัดเกลาและเปลี่ยนแปลงตัวเขาให้ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ผมขอโทษกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าครูบอกว่าเขาคือภาระ ผมก็ยินดีที่จะให้เขาลาออกภายในวันนี้ครับ”
เราได้ยินก็ตกใจ แล้วก็พยายามรีบออกจากห้องแต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็หันหลังกลับไป เห็นพี่เขานั่งน้ำตาคลอแล้วมองเราด้วยสายตาที่อ้อนวอน แต่เราไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้เรารู้สึกว่า
“เราจะต้องเข้าไปหาเขา ไปปลอบหรือคุย ใจนึงก็ยังเกลียดแต่อีกใจก็สงสาร”
เราทำตัวไม่ถูกจึงรีบวิ่งหนีไป พอถึงช่วงพักเที่ยงพี่คนนั้นก็เดินเข้ามาหาเราแล้วถามว่า
“ว่างไหม อยากคุยด้วย” เราก็ตอบกลับไปว่า “ได้”
พี่คนนั้น : ทำไมถึงรีบวิ่งออกไป แล้วทำไมถึงยอมมานั่งคุยกับพี่
เรา : ตกใจที่พ่อพี่บอกว่าจะให้พี่ออก แล้วที่ยอมมาคุยเพราะคิดว่าพี่อาจจะอยากระบายก็ได้
พี่คนนั้น : ที่ไม่ค่อยเข้าเรียน เพราะไม่ค่อยมีใครสนใจสักเท่าไหร่ ครูก็เมินบ้าง เพื่อนบ้าง
เรา : แต่คนอื่นบอกหนูว่าพี่เป็นน่ารัก และก็ใจดีด้วย
พี่คนนั้น : ใช่หรอ ทำไมมีแต่คนคอยตำหนิ นินทา แถมบางคนใส่ร้าย โดนเมินบ่อย เลยแก้ปัญหา ด้วยการไปกับพวกที่โดดเรียน เพราะเขาให้ความสนใจเรามากกว่าคนอื่นๆ รู้สึกเป็นคน สำคัญ วันไหนไม่โดดเขาก็ตามตลอดแต่พักหลังพี่ไม่ค่อยชอบ เพราะมันทำให้การเรียน แย่ลงมาก ใครๆก็ดูวุ่นวายไปกับเรา พ่อแม่ก็โดนชาวบ้านและครูนินทาสารพัด
เรา : แต่พี่ก็หมดโอกาสแก้ตัวแล้ว เคลียร์เอกสารลาออกเสร็จแล้วใช่ไหม
พี่คนนั้น : ครูให้โอกาสพี่ปรับตัวก่อนสอบกลางภาค ถ้าพี่ดีขึ้นก็จะได้อยู่ต่อ แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพื่อนแท้ก็ไม่มี ไม่มีใครสนใจหรือเห็นค่าของเราจริงๆ แล้วจะทนอยู่กับอะไรแบบนี้ไป ทำไม อีกใจนึงก็จะจบแล้ว แต่ถ้าสู้ต่อก็คงไม่ไหว ลาออกคงดีที่สุด
เรา : งั้น พี่ก็คิดว่าหนูคือเพื่อนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้ายหนูก็ยินดีรับฟัง หนูจะช่วยให้พี่อยู่ต่อเอง ไม่ว่าใครจะเมินหรือว่าอะไรพี่ไม่ต้องสนใจ เพื่อนคนไหนไม่เห็นค่าแต่เพื่อนคนนี้เห็นค่าพี่นะ(เราทั้งคู่ก็มองตากัน แล้วใจของฉันก็สั่นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน)
พี่คนนั้น : พี่จะลองดู ขอให้เราได้เจอกันแบบนี้ เวลานี้ ทุกวันได้ไหม??
เรา : ได้ แต่วันนี้พอแค่นี้นะ จะรีบไปเรียน(พร้อมทั้งส่งยิ้มให้กันก่อนไป)