ยายเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง ว่าแม่ของเธอไม่ได้ส่งเงินมาให้สักพักแล้ว ทำให้ไม่มีเงินจ่ายค่าบ้านและค่าใช้จ่ายอื่นๆแม้แต่ค่าเทอมของเธอเองก็ยังไม่ได้จ่าย
เมื่อเธอได้รู้ความจริงทั้งหมดเธอตกใจมากและทำอะไรไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาในครั้งนี้ยังไง ในหัวของเธอทั้งสับสนเสียใจและผิดหวังในชีวิตของตนเองเป็นอย่างมาก เธอไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึง ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้สมบรูณ์แบบตั้งแต่แรกแต่ก็ยังมาพบกับปัญหาไม่จบไม่สิ้น
ในวันที่ฟ้าเป็นสีเทาและบรรยากาศที่แสนจะน่าเศร้า เธอหันไปมองหน้ายายแล้วพูดออกไปด้วยเสียงสั่นๆว่า
“ไม่เป็นไรนะยาย หนูพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง เดี๋ยวหนูจะเอาไปจ่ายค่าบ้านให้นะ”
เมื่อยายได้ยินแบบนี้จึงหันมามองแล้วยิ้มพร้อมกับน้ำตา ซึ่งเป็นน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจที่เห็นหลานสาวของตนเสียสละได้มากเพียงนี้ แต่ยายก็รู้อยู่แก่ใจว่า ถึงจ่ายค่าบ้านเดือนนี้ไป ยังไงก็ต้องมีสักวันที่ได้ย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้อยู่ดี เพราะแม่ของเธอคงจะไม่ส่งเงินมาให้อีกแล้ว
“วัลลีหลานรัก ยายว่าหนูเอาเงินไปจ่ายค่าเทอมเถอะลูก ไม่อย่างนั้นโรงเรียนเขาจะไม่ให้หนูจบนะลูก”
.
.
.
เธอต้องตัดสินใจเลือกระหว่างอนาคตกับที่อยู่อาศัย มันเป็นความกดดันที่มากเกินกว่าเด็กคนหนึ่งจะรับไหว แต่ด้วยคำพูดของยายทำให้เธอตัดสินใจที่จะนำเงินเก็บที่มีของเธอไปจ่ายค่าเทอมที่ค้างอยู่ เมื่อนำเงินไปจ่ายค่าเทอมแล้ว เธอเหลือเงินเพียง 300 บาท ซึ่งไม่พอกับค่าใช้จ่ายอะไรเลย เธอได้แต่นั่งคิดว่าทำไมโชคชะตาต้องมาเล่นตลกกับเธอแบบนี้ด้วย
เธอนึกน้อยใจในตัวเองที่เกิดมาในชีวิตแบบนี้
“ยายจ๊ะ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกันหละจ๊ะ”
สายตาของเธอที่ว่างเปล่าและไม่รู้เลยว่าหนทางในชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้เธอจะไปนอนที่ไหน เธอกับยายอยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เธอยังเด็กๆ หากว่าไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้เธอกับยายก็ถือว่าเป็นคนไร้บ้านไม่มีที่พึ่งพิงที่ไหน เพราะญาติพี่น้องคนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรกันบ้างเธอไม่สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากใครได้เลย