กรรมบังตา : ตรีเนตร

นิยายสั้นสยองขวัญ (Horror/ Chiller)

ลุงเชิงหันมามองหน้ามุมแล้วก็หยุดพูด ผมมองฝ่าความมืดไปยังคนอื่น ๆ ก็มีแต่ความมืดมิดกับความเงียบเท่านั้นแม้แต่เสียงของจั๊กจั้นหรือสัตว์ปีกตัวน้อยก็ยังไม่มีส่งเสียง ผมเองก็เริ่มที่จะหงุดหงิดกับการรอคอยในครั้งนี้ ไอ้ความง่วงที่ไม่ได้รับก็เริ่มเข้ามาหา มาถึงตอนนี้ผมเริ่มได้ยินสียงนกเค้าแมวกู่ร้องดังมาแต่ไกลฟังดูยากเย็นลมหนาวโบกโบยกรีดยอดไม้ดังหวีดหวิว จิ้งหรีดที่เงียบไปก่อนนั้นเริ่มตะเบ็งเสียงร้องแข่งกันเซ็งแซ่

แต่เป็นความโชคดีของผมที่เกิดมาไม่มีโรคกลัวผีติดมาด้วยหากไม่อย่างนั้นแล้วในบรรยากาศแบบนี้ผมว่าคงอยู่นิ่งไม่ได้หรอกมันช่างวังเวงและเป็นใจเหลือเกินสุดจะบรรยายแท้ ๆ ผมกับลุงเชิงและพรานคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่อีกฟากยังคงนั่งเงียบกันต่อไปปล่อยให้จิ้งหรีดตะเบ็งเสียงอยูฝ่ายเดียว นัยน์ตาของผมเริ่มปรือสัปหงกหงึก ๆ  ฉับพลัน! ผมก็ต้องตาตื่นเมื่อหูของผมได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ฮือ ฮือ “

มันดังเหมือนสุขัขขู่เมื่อยามมันเห็นขโมยหรือเห็นศัตรูของมัน ผมคิดว่าลุงเชิงก็ต้องได้ยินเช่นกัน เพราะผมเห็นแกกำลังตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงนั้นเพื่อให้ชัด ๆ แล้วก็รู้แน่ชัดว่าเสียงนั้นมันดังมาจากใต้นั่งร้านที่เรานั่งอยู่นี่เอง สัญชาติญาณของนายพรานผู้ช่ำชองของลุงเชิงแกหยิบไฟส่องให้ผมส่วนแกยกปืนขึ้นประทับไหล่เตรียมยิง ผมมองไรเฟิลมัจจุราชที่พร้อมจะแผดเสียงของลุงแล้วก็กันไปมองยังข้างล่างก่อนที่จะเปิดไฟส่งไปยังเสียงนั้นทันที แต่ทว่าที่นั่นไม่มีแม้แต่เงาของสัตว์ปีก แต่เสียงครางนั้นยังคงดังอยู่เช่นเดิม ไฟจากหม้อแบตเตอรี่ในเมือผมถูกส่องไปรอบ ๆอย่างช้า ๆ มืออีกข้างคว้าปืนมาถือเอาไว้แน่น ทันใดนั้น ! หัวใจของผมก็แทบช็อค เมื่อแสงไฟไปกระทบเข้ากับร่างทมึนที่ยืนอยู่ข้างพุ่มไม้นั่น

“เสือ!”

ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ ส่องไฟนิ่งอยู่ที่แววตาอันวาวโรจน์ของมันแล้วเสียงคำรามของมันก็ดังขึ้นอย่างน่ากลัว ผมนี่อึ้งและพูดอะไรไม่ออกเลย นึกในใจว่าเกิดมายังไมเคยเห็นเสือตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย แม้แต่เสือในสวนสัตว์เขาดินก็อย่ามาเทียบ นี่ถ้ามันขึ้นมาบนนี้ได้ กูตาย! ผมคิดอย่างคนปอดแหก ในนาทีนี้เชื่อเถอะไม่ใครไม่ปอดแหกหรอกมันน่ากลัวขนาดนี้ยกเว้นลุงเชิงดูแกไม่สะทกสะท้านเอาเสียเลยแกขยับบอกผมเบา ๆว่า

“ใจเย็นอย่าขยับไฟนะส่องนิ่งไว้”

แกบอกพร้อมกับขยับปลายกระบอกปืนส่องไปเบื้องล่างโดยที่ผมและลุงไม่รู้เลยว่าอะจะเกิดขึ้นอีกต่อไปและไม่มีอะไรมาทัดทานได้ ปืนในมือลุงเชิงก็ระเบิดขึ้น

“เปรี้ยง!”

เมื่อสิ้นเสียงคำรามของมัจจุราชผู้ทรงพลังแต่กลิ่นอายของดินปืนยังคละคลุ้งอยู่หัวใจของผมแทบหยุดเต้นอีกครั้ง

“เฮ้ย”

เราสองคนร้องออกมาแทบพร้อมกันมันเกือบเป็นเสียงเดียวกันนั่นแหละพร้อมกับมือไม้อ่อนปวกเปียก เหงื่อเม็ดโป้งๆผุดขึ้นมาเต็มหน้าทั้งที่อาศเย็น เราทั้งสองทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนี้ เพราะร่างที่นอนนิ่งเนื่องจากโดนลูกปืนไปเมื่อครู้นี้แทนที่จะเป็นไอ้ลายพาดกลอนอย่างที่เห็นก่อนหน้านั้นแต่กลับเป็นร่างของ “พรานมา” พรานใหญ่อีกคนที่มาด้วยกันอีกคนนั่นเอง และกว่าเราจะตั้งสติได้ก็กินเวลาเข้าไปหลายนาทีจากนั้นก็ตะโกนเรียกคนอื่น ๆ ให้มารวมกัน

คืนนั้น เราจึงนั่งอยู่บนห้างเดียวกันทั้งหมดจนสว่าง จึงได้ช่วยกันหามศพของพรานมาลงมาจากภูเขา ทุกคนไม่ปริปากพูดอะไรเลยสักคำ แต่ละคนมีสีหน้าที่เศร้าสร้อย แต่ก็เชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดี มีเพียงลุงเชิงเท่านั้นที่พูดอยู่คำหนึ่งซ้ำ ๆ

“กูทำเขามามาก เขาเลยทำกูบ้าง”

ผมเองก็พอที่จะเข้าใจที่แกพูดแต่ก็เป็นความโชคดีของลุงเชิงอยู่บ้างที่ทางญาติของพรานมาไม่เอาเรื่องและแจ้งตำรวจบอกเพียงว่าพรานมาทำปืนลั่นใส่ตัวเอง หลังจากนั้นมาลุงแกก็สาบานตาจะไม่ข้าป่าล่าสัตว์อีกเป็นอันขาด

เหตการณ์ครั้งนั้นผมคิดว่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ แต่ผมกลับได้บทเรียนที่แสนแพง จึงทำให้ผมหมดความคึกคนองที่อยากจะออกล่าสัตว์อย่างปลิดทิ้ง และขอเตือนท่านผู้อ่านว่าหากยังรักหรือชอบเรื่องการล่าสัตว์อยู่อย่าลืมกฏของนายพรานที่ว่า

…เมื่อยามเข้าป่าอย่าพูด อย่าสบถ อย่าไปด้วยความคึกคะนอง อย่าท้าทาย ต้องไปด้วยความนอบน้อมเวลาขึ้นนั่งห้างสัตว์ ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ห้ามลงจากนั่งร้านเด็ดขาดแม้จะเกิดอะไรขึ้นอยู่ด้านล่างก็ตาม จนกว่าจะเห็นแสงอาทิตย์ถึงลงมาได้  ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วท่านอาจจะต้องเสียใจเช่นผมกับลุงเชิงเพราะภาพในครั้งนั้นมันยังติดตาตรึงใจไปตลอดกาล