แสนคำลือ : ก.ไกรศิรกานท์

นิยายสั้นย้อนยุค ฉากสมัยโบราณ อิงประวัติศาสตร์ (Historical/ History)

อันที่จริงแสนคำลือนั้นอ่อนล้าเต็มทีแล้ว เพราะรบมาตั้งแต่เช้าตรู่จนเย็น ข้าวปลาก็ยังไม่ได้ตกถึงท้อง แต่ที่ยังหยัดยืนอยู่ได้ก็ด้วยแผ่นหลังกำยำนั้นพิงแผ่นผาอยู่ กอปรกับฝูงลูกธนูที่ช่วยตรึงร่างนั้นเอาไว้เหมือนที่พวกมันเคยตรึงร่างพระลอดิลกราชแห่งเมืองแมนสรวงและเพื่อนแพงสองพี่น้องแห่งเมืองสรองไว้ด้วยกันมาแล้ว

หลังจากที่เสียงดาบสงบลง จเรน้อยและท้าวลิ้นก่านก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากถ้ำที่กำบัง อนิจจา…ตอนนั้นแสนคำลือสิ้นใจเสียแล้ว

ธัญวรัตน์เห็นท้าวลิ้นก่านถลาเข้าไปกอดศพของแสนคำลือ อีกทั้งยังเป็นคนถอดลูกธนูออกจากร่างของแสนคำลือด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง

ความเสียใจและความโศกเศร้าอาดูรนั้นคงจะไม่ต่างอะไรเลยกับความโศกเศร้าของจะเด็ดในวรรณกรรมเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ เมื่อจะเด็ดทราบข่าวว่าพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้มังตราสวรรคตเสียแล้วด้วยถูกนางมุกอายผู้เป็นพระสนมวางยาพิษ

เด็กหนุ่มเห็นท้าวลิ้นก่านสั่งให้ทหารช่วยกันสร้างศาลเพียงตาขึ้น แล้วทำพิธีอันเชิญดวงวิญญาณของแสนคำลือหรือพญาข้อมือเหล็กมาสิงสถิต เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงความดีและความกล้าหาญไว้ให้บรรพชนรุ่นหลังได้รำลึกถึง โดยตั้งชื่อว่า“ศาลพญาข้อมือเหล็ก” ซึ่งต่อมาอีกนานแสนนานชาวบ้านแถบนี้ต่างรู้จักกันดีในชื่อ ศาลเจ้าพ่อประตูผา

“มาอยู่นี่เต๊อะแสนคำลือ บ่ดีหนีไปไหนเลย มาฮักษาฮ่องฮักษาฮอย [ฮักษาฮ่องฮักษาฮอย = รักษาร่องรักษารอย] ฮักษาแผ่นดินของเฮาอยู่ตรงนี้เต๊อะ”
.
.
.
ภาพเหล่านั้นค่อย ๆ เลือนหายไป พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่กลับคืนมาของเด็กหนุ่ม เมื่อธัญวรัตน์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าตนเองกำลังนอนพิงผนังถ้ำอยู่ เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นปัดเศษดินเศษทรายออกจากกางเกง ก่อนจะรีบเดินออกไปจากสถานที่อันลี้ลับแห่งนั้น
.
.
.

ภายนอกถ้ำ ทุกอย่างยังคงเดิมเหมือนกับตอนก่อนที่เขาจะเดินเข้ามา จะมีก็แต่เพียงความรู้สึกภายในจิตใจของเขาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป

“ธัญวรัตน์…ไปไหนมาเหรอครับ? ครูให้เพื่อนไปตามหาก็ไม่มีใครเห็น”

“ผมไป ‘ดู’ เจ้าพ่อประตูผามาครับ”

ครูหนุ่มทำท่าจะไม่เชื่อ ธัญวรัตน์จึงรีบชิงอธิบายเสียก่อน ก่อนที่ครูของเขาจะซักไซ้ไล่เรียงไปมากกว่านั้น

“ผมมาคิด ๆ ดูแล้วครับ ผมว่าบ้างครั้งทั้งท้าวลิ้นก่าน แสนคำลือ หรือแม้กระทั่งจเรน้อยเอง ก็คงจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง ถึงต้องตัดสินใจทำอะไร ๆ ลงไปแบบนั้น ในช่วงเวลานั้น … และผมก็คิดว่าพวกท่านก็คงจะคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก่อนจะลงมือทำ เราซึ่งเป็นคนรุ่นหลังคงไม่มีสิทธิ์จะไปต่อว่าอะไรพวกท่านได้ เพราะหากไม่มีพวกท่านเหล่านั้นในวันนั้น ก็อาจจะไม่มีพวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลังในวันนี้ …ผมกับครูเองก็อาจจะไม่ได้มายืนคุยกันอยู่ตรงนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้ … หมื่นแสนคำลือที่เล่าต่อ ๆ กันมา หรือจะสู้ได้เข้าไปรู้ไปเห็นจริง ๆ นะครับครู”

“รู้สึกว่าเธอจะพูดอะไรแปลก ๆ ไปนะครับ … แต่ไม่รู้ล่ะ ช่างมันเถอะ ยังไงครูก็ดีใจนะ ที่เธอคิดได้แบบนี้” ครูหนุ่มตบไหล่ลูกศิษย์เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะพากันเดินออกไปสมทบกับเด็กนักเรียนคนอื่น ๆ ซึ่งตอนนี้ได้ไปรวมกลุ่มกันรออยู่บนรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

.
.
.

รถทัศนศึกษาเคลื่อนตัวออกจากค่ายประตูผาไปนานแล้ว ไม่มีใครทันสังเกตเห็นเชือกเส้นยาวสีดำมะเมื่อมเส้นนั้น ที่ค่อย ๆ เลื้อยออกมาจากในถ้ำอย่างแช่มช้า…ทว่าสง่างาม

ลมแห่งขุนเขาพัดมาแผ่วเบา ทว่าเมื่อเดินทางผ่านช่องหินแห่งประตูผา กลับก่อให้เกิดเป็นเสียงหวีดหวิวประหลาดคล้ายกับเป็นบทเพลงที่เดินทางมาแต่ห้วงบรรพกาล

“มาอยู่นี่เต๊อะแสนคำลือ บ่ดีหนีไปไหนเลย มาฮักษาฮ่องฮักษาฮอย ฮักษาแผ่นดินของเฮาอยู่ตรงนี้เต๊อะ”