แสนคำลือ : ก.ไกรศิรกานท์

นิยายสั้นย้อนยุค ฉากสมัยโบราณ อิงประวัติศาสตร์ (Historical/ History)

ธัญวรัตน์เห็นจเรน้อยกึ่งลากกึ่งจูงองค์เหนือหัวของตนออกมาจากพลับพลา เพื่อเข้าไปหลบซ่อนตัวในถ้ำซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในหน้าผาใหญ่สูงชัน

“ป้อเจ้าเข้าไปอยู่ตางในเต๊อะเจ้า ข้างนอกนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของไอ้แสนคำลือมันเต๊อะ”

“บ่ได้ เฮาจะปล่อยให้แสนคำลือมันสู้คนเดียวบ่ได้ หมู่ม่านมันมากันเป็นร้อยเป็นพัน แสนคำลือมันจะสู้ลำพังคนเดียวได้อย่างใด”

คนที่ถูกเรียกว่า ‘ป้อเจ้า’ หรือ ‘พ่อเจ้า’ ยังคงฮึดฮัดดึงดันจะออกไปจากที่ซ่อนตัวเสียให้ได้ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็ยังดึงดันที่จะขัดขวางเจ้านายของตนไว้อย่างสุดชีวิตเช่นกัน

“บ่ได้เน้อเจ้า ถ้าป้อเจ้าจะออกไป ก็ต้องข้ามศพไอ้จเรน้อยคนนี้ออกไปก่อนเน้อ!”

ธัญวรัตน์สัมผัสได้ถึงความเด็ดเดี่ยวจริงจังในสายตาคู่นั้นของจเรน้อย เด็กหนุ่มคิดว่าจเรน้อยไม่ได้ขู่ จเรน้อยคงจะยอมตายจริง ๆ ดังคำพูด ถ้าหากว่าเจ้านายของเขายังคงดึงดันที่จะออกไปข้างนอกถ้ำเสียให้ได้

“แสนคำลือมันเป็นตหาน เป็นองครักษ์ หน้าที่ของตหานขององครักษ์ก็คือปกป้องบ้านเมือง ปกป้ององค์เจ้าเหนือหัว แสนคำลือมันต้องทำตามหน้าที่ของมัน ป้อเจ้าบ่ดี [บ่ดี = อย่า] ออกไปให้แสนเมืองลือมันต้องห่วงหน้าพะวงหลังเลย ป้อเจ้าต้องฮักษาชีวิตของป้อเจ้าเอาไว้ ชีวิตของป้อเจ้ายังสำคัญสำหรับชาวเมืองเขลางค์นครของเฮาเน้อเจ้า”

จเรน้อยพนมมือขึ้นไหว้เหนือศีรษะ พูดทั้งน้ำตา “ตอนนี้ม้าเร็วของข้าเจ้าได้บอกข่าวมาแล้ว ว่าพระอธิการเจ้าอาวาสวัดนายางได้แจ้งไปยังหนานทิพย์ช้างหื้อเตรียมกำลังพลไว้ทางใต้ปุ้นแล้ว ถ้าป้อเจ้ายังคน [ยังคน = มีชีวิต] อยู่ เขลางค์นครก็จะยังพอมีหวัง ที่จะรอดพ้นจากเงื้อมมือม่านมัน”
[หนานทิพย์ช้าง ภายหลังได้ยึดเมืองเขลางค์นครคืนมาจากพม่าได้เป็นผลสำเร็จ และสถาปนาตนเองเป็น เจ้าทิพย์จักรหลวง หรือ เจ้าสุลวฤาไชยสงคราม ปกครองเมืองลำปางตั้งแต่พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๐๒ (๒๗ ปี)]

“อ้ายทิพย์ช้างท่า [ท่า = รอ] อยู่ทางนู้นแล้วหรือ?”

ธัญวรัตน์เห็นท้าวลิ้นก่านขมุบขมิบตรงริมฝีปาก…รำพึงเพียงแผ่วเบา แต่ก็น่าแปลกที่เขากลับได้ยินเสียงนั้นดังชัดเจน เสมือนว่าได้ยินเสียงความคิดของตัวละครในภาพยนตร์ที่เขาเคยดูอย่างไรอย่างนั้น

มันเป็นแบบนี้นี่เอง ท้าวลิ้นก่านไม่ได้ขลาดเขลากลัวตายอย่างที่เขาหลงเข้าใจผิดมาโดยตลอด ทว่าพระองค์ทรงตระหนักถึงภาระหน้าที่ของพระองค์มากกว่าความรู้สึกส่วนตัวต่างหาก