บริเวณดังกล่าวนั้นถูกแทนที่ด้วยเรือนศาลาขนาดย่อม ตกแต่งด้วยพรรณไม้ที่พบเห็นขึ้นได้ทั่วไปตามบริเวณนั้น อาทิ เสน่ห์จันทน์ผา กล้วยผา มะพร้าวเต่า [มะพร้าวเต่า = ชื่อปลงชนิดหนึ่ง] และเอื้องแซะดอกขาวที่ผลิดอกออกช่อเป็นรวงยาวตรงชายคา
ศิลปกรรมอันงามง่ายทว่าจำเริญตานั้น ทำให้เด็กหนุ่มนึกไปถึง “พลับพลา” ของท่านท้าวพญามหากษัตริย์ในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ตอนเช้าวันเสาร์และอาทิตย์ เวลาที่เสด็จประพาสเที่ยวพักค้างอ้างแรมในป่า มากกว่าจะนึกถึง“ตูบ” [ตูบ = กระท่อม] ของชาวบ้านร้านช่องทั่วไป
ยังไม่ทันที่ความคิดของเด็กหนุ่มจะกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านั้น หน้าต่างไม้โบราณที่น่าจะเรียกว่า “หับเผย” ก็ถูกดันให้ยกขึ้น ก่อนที่บานประตูไม้ไผ่สานของ ‘พลับพลา’ จะถูกเปิดออก!
ธัญวรัตน์มองเห็นร่างสมส่วนของบุรุษเพศหนุ่มน้อยผู้หนึ่งก้าวขาออกมา ลักษณะการแต่งตัวผิดแผกแตกต่างไปจากชาวบ้านโดยทั่วไป
บุรุษผู้นั้นสอดส่ายสายตาไปมา เหมือนกับว่ากำลังจะมองหาใครสักคนหนึ่ง
“ตหาน [ตหาน = ทหาร] มีตหานคนใดอยู่แถวนี้บ่?”
น่าแปลกที่ธัญวรัตน์ยืนอยู่ตรงหน้า ‘พลับพลา’ นี่เอง ระยะทางก็ไม่น่าจะเกินห้าเมตรเป็นอย่างมาก แต่บุรุษผู้นั้นก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นร่างของเขา
“อยู่นี่เจ้า ป้อเจ้าใคร่ได้อะหยัง ขะใจ๋ [ขะใจ๋ = รีบ] บอกข้าเจ้ามาเต๊อะ”
มีชายอีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ชายคนนั้นนุ่งผ้าเตี่ยวเพียงผืนเดียว ท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นหน้าอกแกร่งกว้างกำยำ ในมือถือดาบยาวเปลือยคมขาวสะท้อนแสงอาทิตย์ยามรุ่งเช้า พอเดินเข้ามายังไม่ทันถึงตัว ชายผู้เข้ามาใหม่ก็ทรุดลงนั่งกับพื้นธรณี แล้วยกมือจรดศีรษะขึ้นไหว้ ‘ป้อเจ้า’
สมัยนี้ยังมี ‘ข้า’ มี ‘เจ้า’ กันอยู่อีกหรือ?
กองถ่ายทำละครที่ไหนมาถ่ายทำละครอยู่แถวนี้?
แล้วคุณครูกับพวกเพื่อน ๆ ของเขาหายไปไหนกันหมด?
ทำไมไม่มาดู?