แสนคำลือ : ก.ไกรศิรกานท์

นิยายสั้นย้อนยุค ฉากสมัยโบราณ อิงประวัติศาสตร์ (Historical/ History)

“เธอหมายถึงใคร…ที่ว่าพรรค์นั้นน่ะ ท้าวลิ้นก่านน่ะเหรอ?”

“ถ้าผมเป็นแสนคำลือ ผมจะไม่ยอมตายถวายชีวิตเพราะคนขี้ขลาดและเห็นแก่ตัวอย่างท้าวลิ้นก่านเป็นอันขาด”

แทนคำตอบ เด็กหนุ่มกลับแสดงเหตุผลส่วนตัวออกมาแทน โดยที่ครูหนุ่มยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม

“ธัญวรัตน์! เธอรู้ตัวมั้ย? ว่าเธอกำลังพูดอะไรออกมา”

“ผมรู้ตัวดีครับครู”

ลูกศิษย์สบสายตากับครูจริงจัง ซึ่งผู้สูงวัยกว่าก็ไม่พบอะไรเลยในแววตาสีสนิมเหล็กคู่นั้น นอกจากความผิดหวัง เสียใจ และหมดศรัทธาในอะไรบางอย่างจนถึงที่สุด

“เธออย่าคิดแบบนั้นซิ เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ในสมัยนั้น เราก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง บางทีท้าวลิ้นก่าน หรือแสนคำลืออาจจะมีเหตุผลอะไรของพวกเขาก็ได้นะ …ใครจะไปรู้”

“เชิญครูเข้าไปกราบสักการะคนเดียวเถอะครับ ผมขอตัวไปเดินเล่นในถ้ำดีกว่า … ยังเหลือเวลาอีกเกือบยี่สิบห้านาทีกว่ารถจะออก มันคงนานเกินไป ถ้าผมจะต้องไปนั่งยกมือไหว้รูปปั้นนั่น!”
.
.
.

อากาศภายในถ้ำค่อนข้างเย็น กลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นปฏิกูลมูลค้างคาวทำให้ชวนคลื่นเหียนวิงเวียนไม่น้อย หินหลายก้อนมีละอองน้ำเกาะจนตะไคร่จับเป็นสีเขียวคล้ายกับมีคนนำเอากำมะหยี่สีเขียวมรกตมาคลุมทับเอาไว้

พอสายตาชินกับความมืด ภาพจิตรกรรมบนผนังถ้ำที่เมื่อแรกตอนเดินเข้ามานั้น มองแทบจะไม่เห็น ตอนนี้ก็เริ่มจะปรากฏให้เห็นชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้น

ภาพบางส่วนมีร่องรอยถูกเขียนทับซ้อนกันไม่น้อยกว่าสองครั้ง ทำให้พื้นที่เขียนภาพมีลักษณะเป็นปื้นสีแดงหนา นอกจากนั้นยังมีภาพบางส่วนเลอะเลือนเนื่องจากการผุกร่อนไปตามกาลเวลา และจากการทำลายทั้งโดยธรรมชาติและน้ำมือของมนุษย์