Site icon เมจิคไทม์ มีเดีย | อ่านนิยายสั้นออนไลน์ฟรี

เรื่องของกระต่ายกับเต่า (ที่อีสปไม่เคยเล่าให้ใครฟัง) : ก.ไกรศิรกานท์

โดย : ก.ไกรศิรกานท์
ลิขสิทธิ์ : Magic Time Media

[ เกมของพระเจ้า ]

เจ้านักเล่านิทานคนนั้นมันจะไปรู้อะไร้ .. มันก็เล่าไปอย่างที่ตามันเห็นเท่านั้นแหละ

ข้าซิ … ข้ารู้ลึกกว่านั้นเยอะ

สมัยนั้นมันมีกระต่ายกับเต่าซะที่ไหน อย่าว่าแต่กระต่ายกับเต่าเล้ย… แม้แต่คนก็ยังไม่มี

เรามีแต่สัตว์ สัตว์ สัตว์ … แล้วก็สัตว์ !

ซึ่งดูๆ ไปแล้ว แต่ละ ‘สัตว์’ ก็ไม่เห็นจะแตกต่างกันตรงไหน

วันนั้นพระเจ้าทรงเล่นพิเรนทร์อะไรก็ไม่รู้ พระองค์ทรงอยากแบ่งแต่ละ ‘สัตว์’ ให้ออกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อที่จะได้จดจำกันได้ง่าย ๆ หน่อย

พระองค์จึงทรงประกาศหาสัตว์มาเล่นเกม ซึ่งอันที่จริงพระเจ้าได้ทรงเตรียมเกมเอาไว้มากมายหลายเกมเลยทีเดียว เพียงแต่เกมแรกนั้นยังไม่มีใครกล้าลงสมัคร มันก็เป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอ? …ใคร ๆ ก็กลัวสิ่งใหม่กันทั้งนั้น

พระเจ้าก็เลยบังคับ ‘ไอ้สัตว์’ สองเผ่าพันธุ์นั้น!

กติกาง่าย ๆ ของพระองค์มีอยู่ว่า หากว่าเผ่าใดชนะ พระเจ้าจะทรงประทานสิทธิพิเศษให้สามารถลงไปอาศัยอยู่ในน้ำได้ด้วย วันไหนเบื่อที่จะอยู่บนบก ส่วนผู้แพ้ก็ตามธรรมเนียมนั่นแหละ …คือย่อมจะไม่ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว…ก็เท่านั้นเอง

พระเจ้าทรงบอกว่าในฐานะที่พระองค์เลือกให้พวกมันมาเป็น “สัตว์ทดลอง” (ตอนนั้นเรายังไม่มีคำว่า “หนู (ทดลอง)” หรอกนะ) พระองค์จะอนุญาตให้พวกมันขออะไรก็ได้…อย่างหนึ่งจากพระองค์

ซึ่งผลการแพ้ – ชนะ มันก็เป็นอย่างที่พวกเจ้ารู้นั่นแหละ ตามที่อีตาอีสปนั่นเอาไปเล่าให้พวกเจ้าฟัง

แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่ง ฟังข้าให้จบก่อน มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของความประมาท หรือไม่ประมาทอย่างที่พวกเจ้าเข้าใจหรอกนะ!

ไอ้สัตว์สองเผ่าพันธุ์นั้น พวกมันต่างก็วางแผนกันเอาไว้แล้ว ข้ารู้ … เพราะก่อนวันที่จะมีการแข่งขันน่ะ ข้าได้แอบย่องไปฟังพวกมันประชุมกัน

ใช่ … ทั้งสองเผ่าเลย

ไอ้สัตว์เผ่าพันธุ์แรก มันบอกว่าพวกมันอยากได้สิทธิ์ให้พวกมันสามารถมุดว่ายลงไปอยู่ใต้น้ำเมื่อใดก็ได้ในยามที่พวกมันต้องการ ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะบนบกมันร้อนเสียเหลือเกิน ข้าแอบได้ยินพวกมันให้เหตุผลกันแบบนั้น

ส่วนไอ้สัตว์เผ่าที่สอง มันกลับบอกว่าใช้ชีวิตอยู่บนบกก็ดีอยู่แล้ว จะลงไปเกลือกกลั้วขี้เยี่ยวของกันและกันในน้ำให้ตัวเองสกปรกโสโครกทำไมกัน

สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวของข้าน่ะนะ ข้าว่าอันที่จริงถ้าพวกมันทั้งสองเผ่าพันธุ์ตกลงกันเสียตั้งแต่แรก เรื่องราวต่าง ๆ มันก็น่าจะจบลงเสียตั้งตอนนั้น ไม่น่าจะต้องมาวางแผนการอะไรให้มันสลับซับซ้อนวุ่นวายเลย

ข้ารู้นะ…ไม่ใช่ว่าไม่รู้

ไอ้สัตว์เผ่าแรกน่ะ มันแกล้งเข้ามาทำดีกับคู่แข่งของมัน ทำทีเป็นว่าพวกมันมีอัธยาศัยดี เข้ามาพูดเข้ามาทักเข้ามาคุย ทำทีเป็นว่าอยากจะเข้ามาผูกมิตรเสียเต็มประดา แต่แล้วสุดท้ายพวกมันก็แอบไปรีดเอาน้ำยางพิษจากต้นนิทรารมณ์ … ไปผสมน้ำให้อีกฝ่ายหนึ่งกิน เพื่อที่ฝ่ายของตนเองจะได้เป็นผู้ชนะในเกมครั้งนี้ของพระเจ้า … และได้รับสิทธิ์ให้ลงไปอยู่ใต้น้ำได้ ทุกยามที่มันต้องการ

ส่วนไอ้สัตว์อีกเผ่าหนึ่งนั่นน่ะหรือ มันระวังตัวของมันไว้ละ เพราะมันก็คิดเอาไว้อยู่แล้วเชียวว่าอีกฝ่ายน่าจะคิดไม่ซื่อ ก็ใครกันล่ะที่จะอยากลงไปอยู่ในน้ำ เปียกปอนจะตาย น้ำขี้น้ำเยี่ยวของใครบ้างก็ไม่รู้ แค่คิดก็ขยะแขยงแล้ว

ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะแอบเอา ‘น้ำว่านยาขยัน’ ผสมน้ำให้ตนเองดื่ม มันก็เลยแอบเทเอาน้ำที่อีกฝ่ายให้มานั้นทิ้งเสีย เสร็จแล้วก็ไปแกล้งนอนหลับระหว่างทางเพื่อที่ตัวจะได้เป็นฝ่ายแพ้

ผลสรุปมันก็เป็นอย่างที่พวกเจ้ารู้นั่นแหละ ไอ้สัตว์ทั้งสองเผ่านั้นต่างก็ได้สมประสงค์กันทั้งสองฝ่าย…อย่างที่พวกมันต้องการ พระเจ้าก็ทรงประทานสิทธิ์แก่ผู้ชนะตามสัญญา แล้วหลังจากนั้นไอ้สัตว์ทั้งสองเผ่าก็ขอพรจากพระเจ้า

ไอ้สัตว์เผ่าพันธุ์แรกมันขอให้พวกมันมีกระดองหุ้มร่างกาย พวกมันให้เหตุผลกับพระเจ้าไปว่าเวลาที่มีสัตว์ร้ายเข้ามาหา พวกมันจะได้ ‘มุดหัว’ หลบเข้าไปในกระดองได้เลย ไม่ต้องวิ่งหนีภัยอันตรายใด ๆ ให้เหนื่อย ซึ่งพระเจ้าก็ทรงประทานพรให้พวกมันตามคำขอ อีกทั้งยังทรงประทานชื่อให้พวกมันอีกว่า ‘เต่า’ …ซึ่งในตอนแรก ๆ พวกมันก็วิ่งกันเร็วอยู่แหละนะ แต่พอนาน ๆ เข้า มันก็เริ่ม ‘ถือดี’ ว่าพวกมันมีกระดองซึ่งได้รับมาจากพระเจ้า พวกมันก็เลยไม่ยอมวิ่งกันอีกเลย จนกระทั่งเผ่าพันธุ์ของพวกมันกลายมาเป็นเผ่าพันธุ์ต้วมเตี้ยมอย่างที่พวกเจ้าเห็นในทุกวันนี้แหละ

ส่วนไอ้เผ่าพันธุ์ที่สอง พวกเจ้าคงเดาไม่ออกหรอกว่าพวกมันจะขออะไร เพราะพวกมันขออะไรที่คนอย่างข้าเองก็ยังนึกไม่ถึงอยู่เหมือนกัน พวกเจ้ารู้มั้ยว่ามันขอว่าอะไร?

พวกมันขอให้พระเจ้าทรง ‘ประจาน’ เผ่าพันธุ์ของพวกมันในฐานะของผู้พ่ายแพ้ โดยการสลักรูปของพวกมันไว้บนดวงจันทร์ ซึ่งพระเจ้าก็ประทานให้พวกมันตามคำขอ และทรงประทานชื่อให้พวกมันว่า ‘กระต่าย’

ส่วนข้าน่ะเหรอ…

คืนนั้นหลังเลิกงาน พระเจ้าได้เรียกข้าเข้าไปพบเป็นการส่วนตัว เพื่อมอบรางวัลพิเศษให้แก่ข้า ตอบแทนที่ข้าแอบไปสอดแนมนำข่าวอันแสนขบขันของพวกมันทั้งสองเผ่าพันธุ์มาแจ้งแก่พระองค์

ข้ายังจำได้ดีเลย เมื่อพระเจ้าเอ่ยถามข้าว่า “เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นสิ่งตอบแทน?”

ข้าตอบพระองค์ไปว่า ข้าขอให้เผ่าพันธุ์ของข้ามีขนาดสมองที่ใหญ่เป็นพิเศษกว่าสัตว์ในเผ่าพันธุ์อื่น ๆ และเป็นสัตว์ที่สามารถยืนตั้งฉากกับพื้นผิวโลกได้ อีกทั้งจะวิ่งบนบกก็ได้ อีกทั้งจะฝึกฝนให้ตนเองสามารถว่ายน้ำก็ย่อมได้

นอกจากนี้ข้ายังขอให้เผ่าพันธุ์ของข้ามีความสามารถพิเศษที่จะสร้าง “กระดอง” เอาไว้ป้องกันตัวเองยามที่มีภัยได้ด้วย (จะได้ไม่ต้องวิ่งหนีอะไรให้เหนื่อยเปล่า ๆ) โดยมีสิทธิพิเศษอีกว่า เผ่าพันธุ์ของข้าไม่จำเป็นต้องแบก “กระดอง” นั้นไว้ตลอดเวลาอย่างที่พวกเต่าหน้าโง่พวกนั้นทำกัน

พระเจ้าทรงหัวเราะชอบใจ แต่ก็ทรงประทานพรให้ตามที่ข้าขอ

และก่อนที่พระเจ้าจะตั้งชื่อให้เผ่าพันธุ์ของข้า (ซึ่งข้าคงไม่ชอบชื่อนั้นของพระองค์เป็นแน่) ข้าก็เลยอาศัยจังหวะที่พระองค์กำลังหัวเราะนั้น ชิงตั้งชื่อให้เผ่าพันธุ์ของข้าเสียก่อน โดยข้าขอให้เผ่าพันธุ์ของข้ามีชื่อเรียกว่า “มนุษย์” หรือ “สัตว์ประเสริฐ”

พระเจ้าหัวเราะชอบใจอีกละลอกหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเย็นอำมหิต และกระซิบเบา ๆ ทว่าทำให้ข้าหนาวไปถึงขั้วหัวใจว่า

“และข้าจะให้พวกเจ้าเรียก ‘กระดอง’ ของพวกเจ้าเองว่า ‘หน้ากาก’ ”

[ มนุษย์หมาป่า กับ ผากระต่าย ]

ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด ก่อนที่สายฝนจะกระหน่ำโปรยปรายลงมาในเวลาไม่นานหลังจากนั้น กบชวนเขียดและอึ่งอ่างบรรเลงคีตดุริยางค์ระงมในฟลอร์สระบัว ซึ่งมีดอกบัวหลากสีชูช่อแข่งกันอยู่แลดูสล้างในนั้น

แน่ล่ะ … มันเป็นอะไรที่เข้ากันได้ดีทีเดียว

ฟ้าหลังฝนในวันรุ่งขึ้นดูสดใสกว่าทุกวัน เมฆสีขาวนวลชวนกันร่ายเริงระบำบนนภากาศตั้งแต่แดดยังไม่ทันจะลงดาบประหารเพชรน้ำค้างบนยอดหญ้า ฝูงแมลงปอและผีเสื้อหลากสีก็พากันบินขวักไขว่ไปมา ราวกับว่ามีงานมโหรสพแห่งมวลแมลงก็ไม่ปาน

ตอนนี้สายมากแล้ว แต่เจ้ากระต่ายก็ยังไม่ยอมลุกออกจากที่นอน อากาศอุ่น ๆ ในตอนสายมีอุณหภูมิกำลังดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนอนหลับพักผ่อน

แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ การพักผ่อนก็ไม่ต่างอะไรกับงานเลี้ยง…ที่ย่อมต้องมีวันเลิกรา เมื่อเจ้ากระต่ายได้ยินเสียงจะงอยปากน้อย ๆ เคาะที่หน้าต่างเบา ๆ

นกน้อยไปรษณีย์ตัวนั้นเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญรายแรกของเช้าวันนี้

“นี่ เจ้ากระต่ายมารับจดหมายด้วย”

“อืมม …ขอบคุณเจ้ามากเลยนะ ที่อุตส่าห์เอาจดหมายมาส่งให้ข้า” มันงัวเงียลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง ก่อนจะรับเอาจดหมายฉบับนั้นมาเปิดอ่าน

“ไม่เป็นไร ข้าไปล่ะนะ” นกน้อยเอ่ยคำลา

ในจดหมายมีลายมือที่กระต่ายไม่คุ้นตา ทว่าลายมือนั้นมีความบรรจงยิ่ง ราวกับว่าผู้ส่งตั้งใจเขียนอย่างเป็นที่สุด

ถึง กระต่ายเพื่อนรัก

ข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าเป็นอย่างยิ่ง สำหรับไมตรีที่เจ้ายอมให้ข้าชนะในเกมการแข่งขันเมื่อวานก่อน ข้าจึงอยากจะเลี้ยงฉลองชัยชนะของข้าสักหน่อย ถือเป็นการเลี้ยงตอบไมตรีของเจ้าด้วย

ป.ล. งานนี้ข้าเชิญแขกไม่มาก ก็มีเพียง นกกระสา ช้าง ม้าลาย เก้ง กวาง ชะนี หมี หมูป่า ฯลฯ

รักและห่วงใย (ในมิตรภาพ)

 เต่า

เมื่อกระต่ายได้อ่านจดหมายจบ ก็บังเกิดความคิดว่าถ้าเมื่อวานนี้เราไม่แอบไปงีบหลับใต้ต้นไม้ต้นนั้น ป่านนี้ผู้ที่จะจัดงานเลี้ยงฉลองก็คงต้องเป็นเราเป็นแน่แท้

คิดแล้วกระต่ายก็บังเกิดความอับอายที่จะออกไปสู้หน้ากับสัตว์เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งในวินาทีแห่งความอาดูรนั้นเอง ความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามาในสมองน้อย ๆ ของกระต่าย

กระต่ายจึงวิ่งไปที่หน้าผา พร้อมกับตะโกนออกมาว่า “ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้ข้าได้เกิดเป็นกระต่ายอีกครั้ง”

สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินผ่านมาแถวนั้นพอดิบพอดี มันกำลังหงุดหงิดด้วยโมโหหิว…

ถูกนกกระสากลั่นแกล้งเอาคืนเรื่องมื้ออาหารยังไม่พอ องุ่นเปรี้ยว ที่อยู่ระหว่างทางนั่นยังซ้ำเติมซะตากรรมให้มันอีก
[ดูรายละเอียด ในนิทานอีสปเรื่อง “นกกระสากับสุนัขจิ้งจอก” และ “องุ่นเปรี้ยว”]

‘อาหารมื้อค่ำของเราวันนี้ คงหนีไม่พ้นเจ้ากระต่ายตัวนี้เป็นแน่’ เจ้าสุนัขจิ้งจอกคิด ในขณะที่สี่เท้าก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาเจ้ากระต่าย

“เจ้าจะไปไหน เจ้ากระต่ายน้อย มาเป็นอาหารของข้าเสียดี ๆ ” มันแยกเขี้ยวขาววาววับ

“เจ้าเลวมากนะเจ้าสุนัขจิ้งจอก นี่เจ้าคิดจะสังหารแม้กระทั่งผู้ที่กำลังจะสังหารตัวเองเชียวหรือ? ดีล่ะ…เค้าว่ากันว่าคำอธิษฐานก่อนตายนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก งั้นก่อนตายข้าก็จะขอลองดู … ข้าขอสาปให้เจ้ากลายเป็น ‘หมาป่ามนุษย์’ ทุกคืนวันเพ็ญเจ้าจะต้องกลายร่างเป็นครึ่งหมาป่าครึ่งคน ให้พวกมนุษย์เค้าตามล่าล้างพวกเจ้า … เจ้าจะได้รู้สักที…ว่าผู้ถูกล่านั้นเขามีความรู้สึกเช่นไรบ้าง” พอพูดจบ กระต่ายก็ทิ้งร่างตัวเองลงไป

นับตั้งแต่นั้นมา หน้าผาแห่งนั้นก็ถูกขนานนามว่า “ผากระต่าย”

ว่ากันว่าทุกคืนที่พระจันทร์เต็มดวง เมื่อหมาป่าตัวนั้นมองเห็นภาพกระต่ายในดวงจันทร์ มันจะกลายร่างเป็น ‘หมาป่ามนุษย์’ ทนทุกข์ทรมานยิ่งนัก

ครั้งหนึ่งเคยมีนักล่าสัตว์มาเจอมันเข้าพอดี นักล่าสัตว์เหล่านั้นหวาดกลัวมันมาก พวกเขาจึงได้ช่วยกันตามพรรคพวกมนุษย์ในหมู่บ้านให้มาช่วยกันไล่ล่ามัน อีกทั้งยังได้ขนานนาม เรียกพวกมันว่า ‘มนุษย์หมาป่า’

อ่อ… ถ้าพวกเจ้าอยากจะรู้ว่า “ผากระต่าย” อยู่ที่ไหนน่ะเหรอ ก็ไปถามตาอีสปคนนั้นดูซิ

เพราะก็คงจะมีแต่เขาเท่านั้นแหละ…ที่รู้คำตอบที่แท้จริง

Exit mobile version