เช้าวันต่อมา
“พี่ครับ เจ้าของห้อง 344 คนก่อนเขาออกไปก่อนหน้าผมนานหรือยังครับ” ก่อนออกไปทำงาน พฤกษ์อดไม่ได้ที่จะแวะถามนิติบุคคลด้านล่างอาคาร เรื่องเจ้าของห้องคนเก่าติดใจเขาอยู่ตลอดทั้งเช้า ไม่เข้าใจว่าคนที่ชื่อปราชญ์นั่นต้องการอะไร มาทักเขาดึก ๆ ดื่น ๆ แล้วบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของห้อง
“น…นานแล้ว หลายปีแล้วนะ มีอะไรหรือเปล่า” เจ้าหน้าที่นิติบุคคลถึงกับต้องผละออกจากเอกสารที่ทำอยู่แล้วเงยหน้าซีด ๆ ขึ้นมองเขา
“พอดีเมื่อคืนเขามาหาผม เขาได้บอกพี่หรือเปล่าครับว่าเขาจะย้ายกลับเข้ามา”
“!!!” พี่นิติบุคคลหน้าซีดยิ่งกว่าเดิมจนพฤกษ์ต้องร้องเรียก
“พี่ครับ?”
“จ…เจ้าของคนนั้นเขา…”
“…”
“ตายไปนานแล้ว+”
“อะไรนะครับ เขาจะตายได้ยังไงในเมื่อเมื่อคืนผมยังคุยกับเขาอยู่เลย”
ผมขมวดคิ้ว สงสัยยิ่งกว่าเดิม แต่เหมือนพี่นิติบุคคลจะยืนยันแล้วยืนยันอีกว่าเจ้าของห้องที่ชื่อปราชญ์คนนั้นเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ผมไม่มีเวลาทำความเข้าใจมากนักเพราะอีกไม่นานจะไปทำงานสาย ผมจึงขอตัวและมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลทันที
วันนี้เป็นวันศุกร์ และเป็นวันศุกร์ที่มีผู้ป่วยมากมายเหลือเกิน เขามุ่งมั่นในการทำงานเหมือนวันปกติ พอตกเย็นก็กลับที่พักเหมือนปกติ แต่เหมือนจะมีบางสิ่งที่ไม่ปกติ
“เห้ย!”
ชายคนหนึ่งเดินตัดหน้ารถจนเขาต้องรีบหักหลบ แพทย์หนุ่มจอดรถข้างทางแล้วเตรียมจะวิ่งลงมาดูว่าชายคนนั้นบาดเจ็บหรือเปล่า แต่ว่า…
เขาหายไปแล้ว!
หายไปไหนกัน!
เขามองกระจกข้างแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของชายคนนั้น จนสายตาตวัดขึ้นไปมองกระจกมองหลังก็พบว่าชายคนนั้นนั่งสบตาเขาอยู่ที่เบาะหลัง เขามองใบหน้าที่คุ้นเคยก่อนจะเอ่ยให้แน่ใจ
“คุณปราชญ์” ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“ผมมาตามนัดแล้วนะ” ชายที่นั่งอยู่เบาะหลังเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“คุณเข้ามาในรถผมได้ยังไง”
“ถ้าบอกไปขอให้คุณอย่าตกใจนะครับ”
“…”
“อันที่จริงแล้วผมน่ะเป็นผี” รอยยิ้มของปราชญ์หายไป พร้อมกับดวงตาที่จ้องเขม็งมายังพฤกษ์
“หมายความว่ายังไง ผีจะมีจริงได้ยังไง”
“แล้วคุณว่าการที่ผมขึ้นมานั่งรถคุณได้มันเป็นเพราะอะไรล่ะครับ”
“…” พฤกษ์พยายามนึกหาเหตุผลตามหลักความเป็นจริงว่าอยู่ดี ๆ จะมีคนมาโผล่ในรถของเขาได้อย่างไร นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก แต่เขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อ
“คุณอาจจะแอบอยู่ในรถผมตั้งแต่แรกแล้วก็ได้”
“ตลกใหญ่แล้วคุณพฤกษ์ เอางี้ ผมจะทำให้คุณเห็น” ว่าแล้วปราชญ์ก็เอื้อมมือมาด้านหน้า และมือของเขาสามารถทะลุสิ่งของได้
“!”