Site icon เมจิคไทม์ มีเดีย | อ่านนิยายสั้นออนไลน์ฟรี

หญิงชรา และศาลาริมทาง : มึนงง

โดย : มึนงง
ลิขสิทธิ์ : Magic Time Media

ค่ำคืนหนึ่ง เมื่อราว 20 กว่าปีก่อน เกิดพายุครั้งใหญ่ที่จังหวัดเชียงราย ฝนฟ้าคะนองซัดถล่มทั่วทั้งจังหวัด น้ำเอ่อท่วมริมถนน ต้นไม้ล้มระเนระนาด บ้านเรือนของประชาชนบางหลังปลิวว่อนไปกับพายุ ทางภาครัฐได้ประกาศเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางสัญจรในช่วงที่พายุกำลังเข้าถล่ม ไกลออกมาจากตัวเมือง ประมาณ 30 กิโลเมตร พายุกำลังเคลื่อนมาบริเวณหมู่บ้านหนึ่ง ฝนเริ่มพรำลงมาตั้งเเต่ค่ำๆ มีครอบครัวหนึ่งที่เพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพ หนีพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง กลับมาอยู่บ้านที่เชียงรายทำไร่หาเลี้ยงชีพ บริเวณบ้านมีไร่พืชผลการเกษตร เหน่ง ขวัญ นัด สามพ่อแม่ลูกกำลังนั่งล้อมวงทานข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย

เหน่ง(พ่อ) บอกกับภรรยาเเละลูกชายว่า “พ่อได้ยินข่าวมาตั้งเเต่ก่อนเที่ยง ว่าคืนนี้จังหวัดเชียงรายจะมีพายุเข้า เเต่ยังดีที่หมู่บ้านเราโดนพายุไม่หนักเท่าที่อื่น พ่อฟังวิทยุมาเค้าบอกว่าพายุจะถล่มจนถึงพรุ่งนี้เช้าเลยนะ ยังไงคืนนี้รีบทานข้าว อาบน้ำ เเล้วเข้านอนให้เร็วกว่าปกติเถอะนะ เดี๋ยวถ้าไฟฟ้าดับขึ้นมาอีกจะยุ่งยากไปกันใหญ่”

ฝนพรำลงมาอย่างต่อเนื่อง น้ำเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาบริเวณบ้าน ทั้งสามคนรีบจัดการภารกิจส่วนตัว เพื่อเตรียมตัวเข้านอน
เวลาประมาณ 4 ทุ่ม เหน่งเเละขวัญ ทั้งคู่เดินไปส่งนัดเข้านอนที่ห้องนอนส่วนตัวของลูกชายตามปกติ

“นัด คืนนี้ฝนตกหนักมากเลย ลูกไปนอนกับเเม่เเละพ่อมั้ย แม่เป็นห่วงลูกนะ” ขวัญกล่าวชวนลูกชายไปนอนที่ห้องด้วย

“เเม่ครับ ผม 9 ขวบ เเล้วนะครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ ผมนอนได้ครับแม่” นัดกล่าว

“จ๊ะ ฝันดีนะลูกรัก เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าแม่ทำอาหารโปรดของหนูให้” ขวัญกล่าว ก่อนจะดับไฟในห้องนอนลูก

เหน่งเเละขวัญเดินกลับไปยังห้องนอน ระหว่างที่กำลังเดินกลับไปที่ห้องนอน ตาขวาของขวัญกระตุกราวกับว่าเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง ขวัญรู้สึกไม่ค่อยดีเลย ก่อนที่เหน่งจะปลอบขวัญภรรยาของเขาว่ามันก็เป็นอาการปกติของร่างกาย ไม่ต้องเป็นกังวลอะไรหรอก เหน่งเเละขวัญสองสามีภรรยาจึงเข้านอนตามปกติ หลังจากทั้งสองเข้านอนไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมง เวลาประมาณเที่ยงคืน ขวัญตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียงเเว่วๆมาจากห้องนอนของลูกชาย คล้ายมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ขวัญจึงรีบปลุกเหน่ง

“เหน่งๆ รีบตื่นเร็วเข้า เหน่งได้ยินเสียงอะไรมั้ย เหมือนเสียงลูกของเราร้องมาจากห้องนอนเขาเลย” ขวัญพูดกับเหน่ง

“เเม่ พ่อ ช่วยนัดด้วย” เสียงร้องของนัด เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ

“เเย่เเล้วเหน่ง เร็วเข้า รีบลุกไปดูลูกเร็วเข้า !!” ขวัญบอกเหน่งด้วยความตกใจ หลังจากได้ยินเสียงของนัด

เหน่งและขวัญรีบวิ่งไปที่ห้องนอนของลูกชาย เมื่อขวัญเปิดประตูห้องนอนลูกชาย ก็ถึงกับเข่าทรุด เมื่อเห็นงูเห่าตัวใหญ่กำลังเลื้อยลงมาจากเตียงนอนของลูกชาย ขวัญมองไปบนเตียงเห็นลูกชายของตนกำลังร้องอย่างทรมานด้วยความเจ็บปวดหลังจากโดนงูกัด

“เเม่ พ่อ ช่วยนัดด้วย นัดโดนงูกัด” นัดร้องขอความช่วยเหลือ

เหน่งไม่รอช้า รีบวิ่งไปที่ห้องเก็บของ คว้าไม้ตีกอล์ฟมา เเล้วฟาดกระหน่ำไปที่งูอย่างเเรง ก่อนที่งูจะดิ้นอย่างทุรนทุราย เเละเเน่นิ่งตายไปในที่สุด ขวัญรีบวิ่งไปโอบกอดนัดไว้ เเล้วพยายามปลอบลูก เหน่งพยายามรวบรวมสติ เเล้วรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ลูกชาย

“รีบพาลูกไปโรงพยาบาลเถอะ นัดอาการไม่ค่อยดีเเล้วนะ” ขวัญพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น

“ขวัญ เธอรีบอุ้มลูกไปขึ้นรถเลย เดี๋ยวผมไปสตาร์ทรถเดี๋ยวนี้เลย” เหน่งพูด

เหน่งรีบวิ่งไปที่โรงรถทันที เเล้วสตาร์ทรถ ขวัญรีบอุ้มลูกชายมาขึ้นรถ เพื่อนำลูกชายไปส่งโรงพยาบาลให้ถึงมือหมอเร็วที่สุด เหน่งขับรถออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว เเต่ระหว่างทางหลังจากออกจากบ้านมาได้ประมาณ 7 กิโล เหน่งที่กำลังเหยียบคันเร่งรถยนต์มาด้วยความเร็วสูง ท่ามกลางฝนฟ้าคะนอง และลมพายุ เมื่อมาถึงสะพานที่เชื่อมเข้าสู่ตัวเมือง ก็ต้องถึงกับต้องเหยียบเบรกชะงักทันที เมื่อต้องพบเห็นกับเบื้องหน้า

“ฉิบหาย สะพานขาด ! ทำยังไงดีขวัญ ถ้าเราจะอ้อมกลับไปอีกทาง กินเวลาไปเกือบชั่วโมงเลย ต้องพาลูกไปส่ง
โรงพยาบาลไม่ทันเเน่” เหน่งพูด

“โอ้ย เเล้วเราจะทำยังไงกันดี ลูกอาการเเย่ลงเรื่อยๆเเล้วนะ” ขวัญร่ำไห้

อาการของนัดเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ นัดเริ่มมีอาการซึม ตัวซีด ตัวสั่น ปากสั่น พิษงูกำลังเล่นงานนัด เหน่งเเละขวัญสองคนกำลังเครียดหนัก เพราะกลัวจะเสียลูกชายสุดที่รักไป ทันใดนั้นได้มีสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางป่าทึบริมถนน ดังเปรี้ยง !!! ขวัญกรีดร้องด้วยความตกใจ เเต่สายฟ้านั้นทำให้เหน่งเหลือบมองไปเห็นศาลาริมทางบริเวณนั้น มองเห็นเงาคล้ายๆหญิงชราผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่ริมศาลา เหน่งจึงไม่รอช้าลงจากรถ วิ่งฝ่าลมฝ่าฝนไปที่ศาลา เมื่อเข้าไปใกล้ศาลาขึ้นเรื่อยๆ เหน่งเห็นหญิงชรา อายุราว 70-80 ปี นั่งอยู่คนเดียวที่ริมศาลาท่ามกลางฝนพายุ เหน่งไม่รอช้ารีบถามทางไปโรงพยาบาลเเก่หญิงชราผู้นั้น

“คุณยายครับ ลูกผมโดนงูกัดมา สะพานทางเข้าตัวเมืองขาด คุณยายพอจะทราบทางที่จะไปโรงพยาบาลบ้างมั้ยครับ” เหน่งรีบถามทางเเก่หญิงชรา

หญิงชราค่อยๆเงยหน้าขึ้น สีหน้าของหญิงชราเรียบเฉย หญิงชราจ้องมองเข้าไปในรถของเหน่งอย่างไม่ละสายตาอยู่ครู่หนึ่ง หญิงชราค่อยๆยกเเขนขึ้นทีละนิด เเล้วชี้นิ้วเข้าไปในทางเข้าซอย เป็นซอยเปลี่ยวๆ ไม่มีบ้านคน ไม่มีเเม้เเต่เเสงไฟ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าทึบ เหน่งหันไปมองตามที่หญิงชราชี้ด้วยความแปลกใจ เพราะทางนั้นดูเเล้วไม่น่าจะไปถึงโรงพยาบาลได้

“คุณยายครับ ทางนี้น่ะหรอครับ จะไปถึงโรงพยาบาลได้จริงหรอครับ”

หญิงชราไม่พูดอะไร ได้เพียงเเต่หยักหน้าช้าๆ ตอนนั้นเหน่งเองก็แปลกใจกับทางที่หญิงชราชี้ให้ เเต่ ณ เวลานั้นเหน่งไม่ได้มีทางเลือกเเล้ว เเละด้วยสัญชาตญาณบางอย่างทำให้เหน่งเชื่อหญิงชราผู้นั้น

“เอาวะ ไปก็ไป ขอบคุณนะครับคุณยาย” เหน่งรีบขอบคุณหญิงชรา ก่อนที่จะวิ่งกลับมาที่รถ

“เป็นยังไงบ้าง คุณยายเค้ารู้ทางไปโรงพยาบาลมั้ย” ขวัญรีบถามเหน่ง

“คุณยายบอกให้เราเข้าไปในซอยนั้นน่ะ” เหน่งเอานิ้วชี้ไปยังซอยดังกล่าว

“ห๊ะ นั่นน่ะเหรอทางไปโรงพยาบาล ยังกะทางไปป่าช้าแน่ะ” ขวัญพูด

“แล้วตอนนี้เรามีทางเลือกหรอ เราต้องพาลูกไปส่งโรงพยาบาลให้ทันเวลา เข้าใจมั้ย!” เหน่งพูดเสียงตะคอก

ทันทีที่พูดจบ เหน่งไม่รอช้า เท้าเหยียบคันเร่งหันหัวรถเข้าไปยังซอยที่คุณยายชี้ให้ทันที แม้ว่าขวัญจะไม่ค่อยเห็นด้วยก็ตาม  เพราะทางที่กำลังขับรถเข้าไปนั้น มีเพียงถนนแคบๆ ล้อมรอบไปด้วยป่าทึบ ไร้วี่เเววของทางไปโรงพยาบาล แต่เหน่งเองเชื่อ
หญิงชราผู้นั้น เหน่งคิดว่าผู้ที่อาวุโสเเละอยู่ในพื้นที่มานานขนาดนั้นคงรู้เส้นทางเป็นอย่างดี เเละไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่หญิงชราจะต้องโกหกตน หลังจากขับรถเข้ามาในทางซักระยะเริ่มมีบางอย่างผิดปกติ ขวัญรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังจ้องมองพวกเราอยู่จากด้านในของป่าทึบ ขวัญรู้สึกว่าเส้นทางนี้ไม่ปลอดภัยเอาซะเลย

“เหน่ง ขวัญรู้สึกไม่ค่อยดีเลย ทางนี้มันไปโรงพยาบาลได้จริงหรอ เราโดนคุณยายเค้าหลอกรึเปล่า” ขวัญพูด

“เอาน่ะ เราเพิ่งขับรถเข้ามาเอง เดี๋ยวขับไปเรื่อยๆก็ถึงทางออกน่ะ ใจเย็นๆสิขวัญ” เหน่งพูด

หลังจากที่ขับรถเข้ามาตามเส้นทางได้ซักพักหนึ่ง เหน่งมองไปยังกระจกรถ สังเกตเห็นมีแสงไปสีส้มๆมาจากด้านหลังรถ เหมือนมีรถของใครซักคนกำลังขับตามท้ายมา

“นั่นเเน่ะ เห็นมั้ยขวัญ มีรถคันอื่นขับเข้ามาทางนี้ด้วย เดี๋ยวอีกซักหน่อยเราก็ถึงทางออก” เหน่งพูด

รถคันนั้นเริ่มขับขึ้นมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ แสงไฟสีส้มจากที่อยู่ห่างๆจากตัวรถ เริ่มเข้ามาใกล้รถของเหน่งขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มตามท้ายรถของเหน่งมาติดๆ รถคันนั้นเริ่มขับเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับจะพุ่งชนรถของเหน่ง ขวัญเริ่มใจคอไม่ค่อยดี แต่กลับกันเหน่งรู้สึกเริ่มโมโหกับมารยาทการขับรถของคนขับรถคันนั้นเป็นอย่างมาก รถคันนั้นพุ่งเข้ามาและเริ่มชนท้ายรถของเหน่งเข้าอย่างแรง แต่รถของเหน่งก็ยังไม่พัง เพียงแต่เสียหลักนิดหน่อยเท่านั้น

“เห้ย ! แม่งเอ๊ย ขับรถประสาอะไรของมันวะ ไม่เห็นหรือไงวะ ว่ามีรถอยู่ข้างหน้า” เหน่งพูด

“เหน่ง เค้าจะปล้นเรารึเปล่า ไม่งั้นเค้าคงไม่ตั้งใจขับมาชนท้ายรถเราหรอก” ขวัญพูด

รถทั้งสองคันเริ่มขับไล่บี้กันอย่างต่อเนื่อง เหน่งเองก็เริ่มเหยียบคันเร่งรถด้วยความเร็วสูงสุด รถคันนั้นตามมาติดๆ เเละขับมาเร็วราวกับว่าจะชนรถของเหน่งให้เสียหลักซะให้ได้ เเต่หลังจากไล่บี้กันมาอย่างต่อเนื่อง รถคันหลังเริ่มแซงรถของเหน่งขึ้นมาคู่คี่กัน เหน่งเองด้วยความโมโหหันไปกะว่าจะด่าคนขับรถคันนั้น เหน่งและขวัญหันไปด้านซ้ายของรถ เพื่อที่จะตะโกนด่าคนขับรถคันนั้น แต่เมื่อหันไปก็ต้องตกใจสุดขีด

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด” ขวัญกรี๊ดตกใจสุดอย่างสุดขีด

เมื่อหันหน้าไปดูยังรถคันนั้น ทั้งสองคนก็เห็นตรงกันว่าในรถคันนั้นไม่มีคนขับ !!! รถที่กำลังขับแล่นฉิวไล่บี้พวกเค้ามาตั้งนาน โดนรถคันนี้ชนท้ายมารอบนึง แต่เมื่อขับไล่คู่คี่กันมาก็ปรากฏว่าต้องเจอเรื่องน่าพิศวงที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในชีวิต รถยนต์
สุดหลอนที่ไร้คนขับ ไร้ผู้โดยสาร กำลังแล่นฉิวอยู่บนถนน เคียงข้างกับพวกเค้า ทั้งสองคนตกตะลึงและหวาดกลัวกับสิ่งที่ได้เห็น
รถคันนั้นเริ่มเบียดเข้ามาใกล้รถของเหน่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะขับปาดหน้า จนทำให้รถของเหน่งพุ่งเสียหลักเข้าข้างทาง ก่อนที่รถคันนั้นจะขับหายลับไปในความมืด

“ขวัญ เป็นอะไรมั้ย เธอเจ็บตรงไหนมั้ย แล้วลูกเราบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า” เหน่งถามอย่างห่วงใย

ขวัญดูอาการของนัด ที่เริ่มอิดโรยเต็มที ร่างกายของลูกชายยังปกติดี แต่อาการของนัดเริ่มน่าเป็นห่วง

“ลูกไม่เป็นอะไร นี่มันอะไรกัน นั่นมันรถผีสิงหรอ ขวัญจะบ้าตายอยู่แล้วนะ” ขวัญพูดอย่างหวาดระแวง

“ตั้งสติก่อนนะขวัญ ต่อให้เจออะไร เห็นอะไร ค่อยพูดหลังจากนี้นะ ตอนนี้เราต้องพาลูกไปส่งโรงพยาบาลเท่านั้น” เหน่งพูดปลอบขวัญ

เหน่งเริ่มสตาร์ทรถอีกครั้ง หลังจากรถเสียหลักอยู่ข้างทาง แต่รถก็สตาร์ทไม่ติด เหน่ง ขวัญ และลูก กำลังติดอยู่กลางป่าทึบ ไร้ซึ่งบ้านผู้คน ไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใคร เหน่งจึงตัดสินใจลงไปเช็คอาการของรถ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติของเครื่องยนต์แต่อย่างใด ขวัญจึงอถิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธื์ช่วยให้คุ้มครองครอบครัวให้พ้นจากสิ่งอันตรายทั้งปวง

“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่คุ้มครองป่าเขาแห่งนี้อยู่ โปรดช่วยครอบครัวของลูก ให้พ้นจากภัยอันตราย สิ่งชั่วร้ายทั้งปวงด้วยเถิด แล้วลูกจะไม่มีวันลืมบุญคุณของท่านในครั้งนี้เลย ”

เหน่งกลับมาบนรถ แล้วเริ่มสตาร์ทรถใหม่อีกครั้ง รถที่ก่อนหน้านี้สตาร์ทไม่ติด แต่ครั้งนี้ดั่งมีโชคช่วย รถกลับมาสตาร์ทติดอีกครั้ง เหน่งไม่รอช้ารีบออกรถอีกครั้ง และขับรถมุ่งไปตามเส้นทางนั้น เส้นทางที่มืดสนิทและล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าทึบ บรรยากาศอันน่าวังเวง ทั้งเหน่งและขวัญกำลังตื่นกลัวและหวาดระแวงกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา หลังจากที่ขับมาซักระยะหนึ่ง ก็เริ่มเห็นแสงไฟริมถนนใหญ่อีกครั้ง

“นั่น ดูตรงหน้าเราสิ เริ่มเห็นแสงไฟแล้ว อาจจะเป็นทางออกก็ได้” ขวัญพูดอย่างเริ่มมีความหวัง

หลังจากที่ขับเข้ามาในทางนี้และเจอเรื่องสุดพิศวงมากมาย เหน่งเริ่มมองเห็นถนนใหญ่เป็นทางออกอยู่ตรงหน้า จึงรีบขับรถมุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เหน่งขับรถบนถนนใหญ่มาตามทาง เห็นป้ายทางไปโรงพยาบาลอยู่ตรงหน้า พวกเขาอยู่ห่างจาก
โรงพยาบาลเพียง 10 กิโลเมตรแล้วเท่านั้น นัดที่อาการน่าเป็นห่วง กลับมามีความหวังที่จะรอดชีวิตอีกครั้ง เหน่งขับรถมุ่งไปที่
โรงพยาบาลอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่นานก็ถึงโรงพยาบาล เหน่งขับรถเข้าไปจอดหน้าโรงพยาบาล แล้วอุ้มนัดวิ่งเข้าไปกลาง
โรงพยาบาล

“คุณหมอ คุณพยาบาล ช่วยลูกผมด้วย ลูกผมโดนงูกัดมา !” เหน่งตะโกนเสียงดังลั่นโรงพยาบาล

บุรุษพยาบาลวิ่งมา นำตัวนัดขึ้นเตียงผู้ป่วยฉุกเฉินเคลื่อนที่ เข้าไปเพื่อให้คุณหมอดูอาการอย่างเร่งด่วน หลังจากนั้น
คุณหมอเรียกเหน่งเข้าไปเพื่อสอบถามชนิดของงู และระยะเวลาที่โดนงูกัดมา เหน่งก็อธิบายไปตามที่ตนได้เห็น

“งูเห่าครับ มันคืองูเห่า ผมตีมันจนตายคามือ ผมจำมันได้ดีครับคุณหมอ” เหน่งบอกคุณหมอ

“งั้นดีเลย เดี๋ยวผมจะหาทางรักษาก่อน เชิญคุณพ่อของน้องออกไปรอด้านนอกนะครับ” คุณหมอเชิญเหน่งออกมารอด้านนอก

เหน่งและขวัญรอดูอาการของนัดอยู่ด้านนอกอยู่เป็นชั่วโมง ทั้งสองคนนั่งรอคุณหมออย่างใจจดใจจ่อ รอลูกชายสุดรักสุดดวงใจของพวกเขาอย่างมีความหวัง ประตูของห้องเริ่มเปิดออก เห็นคุณหมอเดินออกมา ทั้งสองคนวิ่งไปที่คุณหมอ และถามอาการของลูกชายอย่างห่วงใย

“คุณหมอคะ อาการของลูกเป็นยังไงบ้างคะ” ขวัญถามคุณหมอด้วยเสียงสะอื้น

“อาการของลูกชายคุณ ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พักฟื้นอีกซักพักก็กลับบ้านได้เเล้วครับ” คุณหมอบอกเหน่งและขวัญ

ทั้งสองคนขอบคุณหมออยู่นาน ก่อนที่คืนนั้นจะนอนเฝ้าดูอาการของลูกทั้งคืน อาการของนัดเริ่มดีขึ้นตามลำดับหลังจากได้รับการรักษา นัดตื่นนอนในตอนเช้า หันมองไปยังปลายเตียง เห็นแม่ของตนนอนฟุบอยู่

“แม่” นัดร้องเรียกแม่ ที่นอนฟุบอยู่ปลายเตียง

ขวัญเริ่มตื่นนอน แล้วเห็นลูกของเขาฟื้นแล้ว ขวัญเดินเข้ามากอดลูกแล้วร้องไห้

“ไม่เป็นไรแล้วนะลูก แม่อยู่ตรงนี้แล้ว ลูกปลอดภัยแล้วนะ” ขวัญพูดเสียงสะอื้น

“ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับเเม่ แล้วพ่อล่ะครับ คุณพ่อไปไหน” นัดถามแม่

“คุณพ่อเค้าไปพบหมอน่ะลูก วันนี้ลูกอาจจะได้ออกจากโรงพยาบาล เราจะได้กลับบ้านกันเเล้ว” ขวัญพูด

เหน่งกลับมาจากห้องคุณหมอ หลังจากที่คุณหมอเรียกพบ เพื่อคุยเรื่องอาการของนัด เหน่งเดินตรงมากอดลูก

“ลูกเป็นยังไงบ้าง เข้มแข็งไว้นะลูก เรื่องร้ายๆมันกำลังจะผ่านไปแล้ว คุณหมออนุญาตให้ลูกกลับไปรักษาตัวที่บ้านแล้ว” เหน่งพูด

“ผมแข็งเเรงดีครับพ่อ ผมรักพ่อและเเม่มากนะครับ” นัดพูดกับพ่อและแม่

เหน่งและขวัญเก็บของขึ้นรถ เพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน บุรุษพยาบาลนำรถเข็นมาส่งนัดขึ้นบนรถ ทั้งสามคนเตรียมออกจากโรงพยาบาลในช่วงบ่าย ฝนเหมือนจะกำลังพรำลงมาอีกครั้ง ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม

“เร็วเข้าขวัญ ฝนกำลังจะตก เดี๋ยวถ้ากลับช้ารถอาจจะติดนะ” เหน่งพูดเร่งขวัญ

เหน่งเริ่มเคลื่อนรถออกจากโรงพยาบาล ระหว่างที่เหน่งกำลังขับรถออกมายังหน้าประตูทางออก เหน่งหันไปมองเห็น
หญิงชราคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนเดิมที่ตรงศาลาริมทาง หญิงชราหันหน้ามาสบตากับเหน่ง เมื่อเหน่งได้เห็นหน้าของหญิงชราผู้นั้นชัดๆทำให้เหน่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้านี้

ตอนที่ครอบครัวของเหน่งเพิ่งจะย้ายกลับมาอยู่เชียงรายได้ไม่นาน เหน่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อกลางค่ำคืนที่เหน่งกลับมาจากทำสวน เพื่อจะกลับบ้านไปหาภรรยาและลูก เหน่งขับรถมาด้วยความเร็วในถนนที่ไร้แสงไฟ มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถของเหน่งที่ส่องบนถนนเท่านั้น เหน่งมองเห็นคนเดินบนถนนมาตัดหน้ารถอยู่ห่างไปประมาณ 5 เมตร แต่ก็หักรถหลบไม่ทัน ทำให้เหน่งชนเข้ากับร่างของคนเข้าอย่างแรง ร่างของเขากระเด็นไปข้างถนน เหน่งเหยียบเบรกรถกระทันหัน เหน่งตัวสั่นมือสั่น นั่งบนรถอยู่นาน ก่อนที่จะตัดสินใจลงมาจากรถ แล้วหยิบไฟฉายเดินลงจากรถเพื่อไปดูอาการคนที่เค้าชน เหน่งส่องไฟไปที่ร่างของคนที่เค้าชน เห็นหญิงชราผู้หนึ่งนอนบาดเจ็บอาหารสาหัส พร้อมกับตะโกนขอให้ช่วย

“ช่วยยายด้วยยยยย” คุณยายร้องขอให้ช่วย

“ยายจะเอายาในย่ามนี้ ไปให้หลาน หลานยายป่วยหนัก หลานยายอยู่คนเดียวกลางกระท่อมในป่า” หญิงชราพูดด้วยเสียงสั่นเหมือนจะขาดใจ และค่อยๆหยิบย่ามให้เหน่งดู พร้อมกับชี้นิ้วเข้าไปกลางป่า

เหน่งพูดอะไรไม่ออก ตัวสั่น มือสั่น ด้วยความตกใจ ทำให้เหน่งเริ่มลังเลที่จะช่วย เพราะกลัวว่าจะมีคดีชนคนตายติดตัว เหน่งพยายามเอื้อมมือไปที่คุณยายอย่างช้าๆ เหมือนจะช่วย ก่อนที่เหน่งฉุกคิดเรื่องคดีความขึ้นมาอีกครั้ง เหน่งค่อยๆเดินถอยหลังออกมาห่างจากหญิงชราทีละนิดๆ แล้วเดินกลับไปที่รถ ก่อนที่จะตัดสินใจกลับขึ้นรถและขับรถหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเหน่งเห็นหน้าของหญิงชราชัดๆ ก็จำได้ในทันที เหน่งทิ้งให้หญิงชราผู้นี้นอนตายอยู่กลางถนนอย่างโดดเดี่ยว เหน่งมองสบตากับหญิงชราอยู่ครู่หนึ่ง หญิงชรามองจ้องมาที่เหน่งอย่างไม่ละสายตา ดวงตาหญิงชรากลายเป็นสีแดงก่ำ ก่อนที่เหน่งจะหลบตา แล้วรีบขับรถออกมาหน้าโรงพยาบาล ทันใดก็มีแสงไฟสีส้มๆมาจากทางด้านขวา เหน่ง ขวัญ และนัด หันไปมองพร้อมกัน รถสิบล้อกำลังพุ่งมาด้วยความเร็ว

“เหน่ง ระวังงงงง” ขวัญตะโกนเตือนเหน่ง

เหน่งรีบหักรถหลบ แต่ไม่ทันกาล รถสิบล้อพุ่งเข้าชนรถของเหน่งอย่างแรง รถของเหน่งกระเด็นเข้าข้างทาง ร่างของเหน่งกระเด็นออกจากรถไปกลางถนน ขวัญและนัดบาดเจ็บสาหัสอยู่ในรถ ก่อนที่ขวัญจะพยายามลืมตาขึ้นมองกวาดสายตาไปบนถนน เห็นร่างของเหน่งนอนเสียชีวิตคาที่อยู่กลางถนน ขวัญมองไปที่ลูกซึ่งนั่งอยู่หลังรถ เห็นนัดได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างหนัก ขวัญร้องไห้ปานจะขาดใจ จนแทบเสียสติ ก่อนจะได้ยินเสียงรถพยาบาลกำลังขับมา บุรุษพยาบาลวิ่งมานำตัวขวัญและนัด กลับเข้าไปยังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล

ขวัญที่นอนโคม่าอยู่ในโรงพยาบาล ลืมตาขึ้นอีกครั้ง หลังจากนอนไม่ได้สติอยู่ร่วมเดือน มองหาลูกชายไปทั่วห้องผู้ป่วยมีพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามา ขวัญพยายามถามเรื่องลูกชายของเขา ก่อนจะได้รับข่าวร้ายว่าลูกชายเขาเพิ่งเสียไปชีวิตไปเมื่อสัปดาห์ก่อนที่เค้าจะฟื้น คุณหมอได้พยายามยื้อไว้สุดความสามารถแล้ว แต่นัดก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ขวัญร้องไห้สะอื้นคิดถึงลูกและสามีอย่างสุดใจ ขวัญเจ็บปวดอยู่คนเดียว โดยไร้ครอบครัวคอยเคียงข้าง

หลังจากพักฟื้นอยู่นาน ก่อนที่ญาติฝ่ายแม่ของขวัญจะมารับขวัญกลับไปอยู่บ้านที่จังหวัดระยอง ขวัญเริ่มมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น มีญาติๆคอยเยียวยาจิตใจอยู่ไม่ห่าง แต่ก็ยังคงนอนฝันร้ายอยู่ทุกคืน ทุกวินาทียังคิดถึงลูกชาย และสามี ได้เพียงแต่ทำบุญอุทิศส่วนกุลศลไปให้ และเก็บทั้งสองคนไว้เป็นความทรงจำเท่านั้น…

Exit mobile version