ลับแลง แลลับที่ลับแล : Dr.Claire Hu

นิยายสั้นย้อนยุค ฉากสมัยโบราณ อิงประวัติศาสตร์ (Historical/ History) นิยายสั้นแนวแฟนตาซี (Fantasy)

จำเนียรกาลผ่านล่วงไปสักระยะหนึ่งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ชายหนุ่มเป็นอาคันตุกะในบ้านของหญิงสาวโดยที่ก็มิได้อยู่เปล่า งานที่ต้องใช้แรงกำลัง งานปลูกสร้างซ่อมแซม เขาได้คอยช่วยเหลืองานหนักเบาทั้งในเรือนนอกเรือน ล้วนทำด้วยความขยันขันแข็ง จนผู้คนทั้งในคุ้มนอกคุ้มต่างชอบพอเป็นอันมาก

ในขณะเดียวกัน ความใกล้ชิดสนิทสนมของพรานเพชรแลแสงหล้าบุตรีเจ้าของบ้านก็ดำเนินไปตามครรลอง จวบจนถึงเวลาอันควร พรานเพชรแลแสงหล้าจึงได้มาอยู่ต่อหน้าผู้มารดาของฝ่ายหญิงแลพูดจาสู่ขอตามธรรมเนียม

แม่คำแพงเห็นคุณความดีแลความขยันขันแข็งในการสร้างประโยชน์แก่คนรอบข้างของชายหนุ่ม จึงได้ตกลงใจยอมรับพรานเพชรเป็นบุตรเขย โดยกล่าวว่า

“นครลับแลงของพวกเรานี้เป็นแดนลี้ลับ บุคคลภายนอกหากมิใช่ด้วยบุญวาสนาแล้ว ยากจะสามารถเข้ามาได้ ชาวเมืองลับแลงเราล้วนเป็นผู้ยึดมั่นในศีลธรรม ผู้คนเคร่งครัดปฏิบัติธรรมเป็นนิจ แลถือวาจาสัตย์เป็นสำคัญ ไม่มีการกล่าววาจาหรือกระทำโกหกหลอกลวงกัน ทั้งนี้ผู้ที่ประพฤติผิดทั้งเล็กใหญ่จะต้องถูกขับไล่ออกจากเมืองไป … นครของพวกเราใช่ว่าไม่เคยมีบุรุษเพศมาก่อน หากแต่พวกเขาโดยส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถรักษาวาจาสัตย์ ดังนั้นจึงต้องถูกอัปเปหิออกจากเมืองไป … นี่เองจึงเป็นเหตุให้พวกเราเต็มไปด้วยสตรีทั้งสาวทั้งแก่แลแม่ม่าย ข้าฯ มีลูกสาวสุดรักเพียงคนเดียว ก่อนที่จะตกปากรับคำ จึงจะขอเจ้าจงให้สัจจะสัญญาข้อหนึ่งว่า จะดำรงตนอยู่ในศีลในธรรม แลไม่กล่าววาจาเท็จ ประพฤติผิดต่อจารีต จะได้หรือไม่ ?”

พรานเพชรไม่ต้องคิดไตร่ตรองอันใดก็รับปากได้โดยทันที ด้วยการที่ดำรงชีวิตในหมู่คนดีมีศีลธรรม ผู้คนโอบเอื้อารีมีเมตตา แลไม่มีความอิจฉาริษยา แก่งแย่งชิงดี เช่นนี้ย่อมมีแต่ตัวแบบแห่งความดีงาม ไม่มีเหตุอันใดให้ความชั่วความเท็จเข้ามาข้องเกี่ยวได้

ที่สุดนครลับแลงจึงได้มีพรานเพชรเป็นเขยขวัญ สองสามีภรรยาอยู่กินกันอย่างสงบสุข ดำรงอยู่ในศีลธรรมแลจารีตอันดี จนมีบุตรสาวด้วยกันคนหนึ่ง ลูกน้อยเพิ่งจะหนึ่งขวบปีน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่รักใคร่ไหลหลงแก่ทุกผู้ทุกคน

อยู่มาวันหนึ่ง อาทิตย์เพิ่งจะบ่ายคล้อย แต่แสงแดดอันเจิดจ้าร้อนแรงมิได้ลดทอนกำลังลงเลย แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้ายังถูกแผดเผาจนสยบอย่างอ่อนล้าไม่สามารถทานทนได้

พรานเพชรหลบแดดมาคลายร้อนที่ใต้ถุนบ้าน ทารกน้อยคำเอื้อยจำเดิมหลับไหลในเปลอย่างสงบสุข แต่ด้วยความร้อนของอากาศนั้นทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นร้องจ้า ผู้เป็นบิดาวิ่งไปอุ้มขึ้นมาปลอบสักเท่าใดก็ไม่สามารถทำให้หยุดได้ จนพรานเพชรจวนเจียนจะหมดสิ้นปัญญาจึงได้หลุดปากออกไปว่า

“คำเอื้อยเอ๋ย จงหยุดร้องเสียเถิดหนา มารดาของเจ้ามาแล้ว จงหยุดร้องเสีย ! …”

โดยที่มิทันได้ฉุกคิดว่านี่เป็นวาจาเท็จ หมายเพียงล่อหลอกให้ทารกสงบลง

แต่ทว่าอันความผิดใด ๆ นั้น หากมิต้องการให้ผู้คนตำหนิติเตียน จำเป็นต้องไม่กระทำ ความผิดพลาดเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มิว่าเล็กใหญ่ มันย่อมเป็นความผิดพลาดอยู่นั่นเอง หามีข้อยกเว้นไม่ !

ถ้อยคำเท็จของชายหนุ่มแม้กล่าวต่อทารกน้อย หากแต่พริบตาได้ยินไปถึงหูทุกผู้คน

แม่คำแพงที่นอนงีบหลับอยู่บนเรือน แสงหล้าที่เก็บผักอยู่ริมรั้ว บ่าวไพร่แลชาวบ้านทั้งรอบข้าง ต่างล้วนพากันมามุงดูคนบาปผู้อาสัตย์อธรรม

พวกชาวเมืองต่างพากันออกปากขับไล่ชายหนุ่มให้ออกไปเสียจากเมือง แม่คำแพงกล่าวแก่ลูกสาวว่า

“ลูกเอ๋ย สามีของเจ้าไม่รักษาสัจจะวาจา ผิดจารีตแห่งนครลับแลงของพวกเรา เห็นจะอยู่ด้วยกันไม่ได้เสียแล้ว จงนำพาเขาออกไปเสียให้พ้นเขตแดนของพวกเราเถิด”

แสงหล้าถึงแม้จะเศร้าเสียใจเหลือเกิน หากแต่จารีตประเพณีคือสิ่งที่สร้างแลดำรงสังคมบ้านเมืองให้สงบสุขไว้ ถึงแม้จะรักใคร่อาทรผู้เป็นสามีสักเพียงใด ตนเองก็จำต้องเสียสละเพื่อประโยชน์ผลแก่ส่วนรวม

ด้วยเหตุดังนี้แสงหล้าแลคำเอื้อย จึงจำต้องนำพาพรานเพชรมาส่งยังปากทางเข้าออกของนครลับแลง