Site icon เมจิคไทม์ มีเดีย | อ่านนิยายสั้นออนไลน์ฟรี

ม่าน : Plaster

โดย : Plaster
ลิขสิทธิ์ : Magic Time Media

ถ้ามีคนพูดถึง”ม่าน”ฉันก็คงนึกถึงภาพละครเวทีอันสมบูรณ์แบบสวยงามที่กำลังเฉิดฉายส่องสว่างไปกับการแสดงบนเวทีที่ทำให้คนเพลิดเพลิน แต่สิ่งที่สะดุดตาฉันมากที่สุดไม่ใช่การแสดงอันสวยงามนี้แต่ฉันกลับเห็นม่านที่กำลังทำหน้าที่เป็นฉากอย่างไม่บกพร่อง

ทำไมฉันถึงสนใจม่านก็ไม่รู้ บางทีไอ้ม่านพวกนั้นก็คงเป็นฉันในตอนนี้ มันเหมือนมากจนฉันอยากจะรู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างหลังม่านจะเป็นเหมือนกับฉันบ้างมั้ย ข้างหลังม่านพวกนั้นจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ความเหนื่อยทั้งกายและใจที่สั่งสมมาจนในใจแทบอยากจะฉีกตัวเองเป็นชิ้น ๆ มั้ย หรือหลังม่านนั้นจะมีความสุขและสวยงามเหมือนกับละครเวทีที่ฉันคิดภาพอยู่หรือเปล่า ละครเวทีที่มีคนชื่นชมมากมายเหลือเกิน ต่างกับหลังม่านที่ไม่มีใครคิดจะแยแส

ม่านสำหรับฉันก็เหมือนร่างกายฉากบังหน้าที่จะต้องดูดีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครรู้ว่าข้างในตัวฉันคิดอะไร รู้สึกยังไง ฉันรู้สึกเหมือนกันกับการยิ้มแสดงละครแล้วบอกใครต่อใครว่าทุกอย่างมันดูสวยงาม แต่ความจริงคือมัน… เน่าเฟะสิ้นดี หลายครั้งหลายหนที่ข้างหลังม่านนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและมืดมน แต่ฉันกลับต้องยิ้มอยู่เสมอ เป็นฉากม่านไร้ค่าที่ไม่เคยมีคนมาแยแสและต่างบอกทุกคนว่าฉันนั้นโอเค

ฉันอยากจะตะโกนออกไปให้มันดังที่สุด ให้เหมือนจิตใจที่กำลังกรีดร้องจนแทบจะขาดใจของฉัน แต่ฉันไม่เคยทำได้คนเข้มแข็งไม่ได้แปลว่าร้องไห้ไม่เป็น คนอ่อนแอก็ใช้ว่าจะร้องไห้ให้กับปัญหาทุกเรื่อง แล้วใครกันแน่ที่เป็นคนเข้มแข็งหรืออ่อนแอ

ตั้งแต่ที่ฉันยังเด็กอยู่ ฉันยังคงเป็นเด็กที่สดใสทั้งภายในและภายนอก จนมาวันนึงทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนผันไปอย่างสิ้นเชิง บางคนอาจจะมองว่าฉันอ่อนแอ ไม่เคยจะสู้ ไม่เคยคิดจะพูดอะไรที่ฉันรู้สึกออกมา เพราะบางที ผู้ใหญ่ก็ไม่เคยฟังเด็ก ฉันพูดในสิ่งที่เป็นความจริง ความเจ็บปวดที่ฉันมี แต่สิ่งที่ฉันได้กลับมาคือการโดนหาว่าเป็น ลูกตอแหล แล้วโดนทำร้ายกลับมาจนฉันแทบจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ แบบนี้ยังจะให้ฉันพูดอยู่อีกหรอ ปากบอกรัก เข้าใจลูก สุดท้ายความคิดตัวเองก็ใหญ่ที่สุดอยู่ดี

เฮอะ น่าสมเพช

หลังจากนั้นฉันก็พยายามที่จะช่างแม่งกับทุกเรื่องเพื่อให้ฉันได้ใช้ชีวิตที่เกิดมากับพ่อแม่ที่พูดนักพูดหนาว่าเป็นบุญคุณมากที่ฉันเกิดมา ถามกันสักคำมั้ย ว่าฉัน อยากเกิดมาหรือเปล่า ฉันไม่เข้าใจว่าฉันจะไปคิดมากหาพระแสงอะไรว่าคนอื่นจะมองฉันแบบไหน ฉันจะไปแคร์ทำไมทั้งทั้งที่ในโลกนี้ไม่มีคนมาแคร์ฉันด้วยซ้ำ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ฉันเรียกว่า แม่ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำตั้งแต่จำความได้

แม่คนที่พูดอะไรลงไปไม่เคยนึกถึงฉันว่าฉันรู้สึกยังไง ไม่มีเลยแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความใส่ใจที่ฉันสัมผัสได้ ไม่เคยมี ฉันอยากจะกรีดร้องออกมาให้ดังที่สุด ให้แม่หันมาฟัง หันมาสนใจฉันบ้าง คนที่กล้าบอกว่าพ่อแม่ทุกคนไม่มีใครไม่รักลูกก็คงจะเป็นคนที่ไม่เคยสัมผัสชีวิตเละๆเหมือนที่ฉันกำลังจะเจออยู่แน่ๆ ใช่ ที่ฉันกำลังคิดอยู่มันอาจจะดูโลกแคบไปบ้าง แต่สำหรับคนที่โดนพ่อตัวเองข่มขืนแล้วแม่หาว่าเป็นตัวฉันเองที่เป็นคนแรดไปอ่อยพ่อแท้ๆของตัวเอง เพราะไปเชื่อคำพูดของผู้ชายคนนั้นที่ฉันเรียกว่าพ่อได้ลง

คิดดูแล้วกัน เด็ก12อ่อยพ่อตัวเอง ฉันจะไปเอามาจากไหน แต่แม่ฉันก็ยังจะเชื่อ เพราะแบบนี้ฉันขอค้านหัวชนฝากับคำว่าพ่อแม่ทุกคนรักลูก หวังดีต่อลูก ถ้ารักฉันจริง คงไม่เชื่อคำพูดผู้ชายมากกว่าลูกสาวของตัวเอง คงไม่มาข่มขืนฉันแล้วมาโบ้ยความผิดให้ฉันหรอก สำหรับฉันเขาก็แค่ต้องการผลประโยชน์ที่ฉันกำลังจะให้พวกเขาได้ในอนาคต โลกใบนี้ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ใจร้าย มืดมน และดำมืด ตอนนี้ที่ทุกคนบอกว่าโลกเป็นสีเทาๆ กลับเข้มขึ้นด้วยสีดำที่กำลังกลืนกินสีขาวจนแทบจะไม่เหลือเค้าโครงของความสว่างนั้นได้แล้ว ฉันเหมือนถูกทอดทิ้ง ให้อยู่ในโลกที่มืดมิดอยู่เพียงคนเดียว แต่ฉันกลับต้องใช้ชีวิตต่อฉันจึกเลือกสิ่งที่คนใช้กันมากที่สุด

‘หน้ากาก’ ทุกสิ่งทุกอย่างของฉันปรับเปลี่ยนไปตามที่ฉันต้องการขึ้นอยู่กับหน้ากากที่ฉันจะหยิบขึ้นมาใส่ แล้วนั่นก็ทำให้ฉันรู้ว่าบนโลกใบนี้แทบไม่มีใครแสดงออกอย่างที่รู้สึกสักคน คนที่มีหน้ากากน้อยก็ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างยากลำบาก ต่างกับพวกที่ปลอมเก่งจนเปลี่ยนหน้ากากได้ภายในเสี้ยววินาที ต่อหน้าทำเป็นยิ้มหวานให้กำลังใจ ลับหลังกับกลายเป็นแอปเปิ้ลเน่าเฟะที่หัวเราะเยาะนินทาลับหลังอย่างเผ็ดมันส์ จนไม่เหลือเค้าความเป็นผู้ดีที่สร้างเอาไว้เลย โคตรจะเน่า

“เท็น เป็นยังไงบ้างลูก” ฉันเปิดประตูเข้าบ้านหลังจากไปเรียนที่มหาลัยมา เสียงอันคุ้นเคยที่ไม่เคยช่วยให้ฉันอบอุ่นขึ้นมาก็ดังขึ้น เสียงที่เชื่อมเอาไว้ด้วยความเสแสร้งแกล้งทำ แม่ที่แสนดี รักลูก อบอุ่นเหมือนที่เคยสร้างไว้ให้คนภายนอกเห็น กลับทำร้ายฉันถึงสองครั้ง กับความทรงจำที่ทุกข์ทรมานและแสนเจ็บปวด

ครั้งแรก กับการที่หาว่าฉันเป็นลูกสาวแรดอ่อยพ่อแท้ๆของตัวเอง โดยที่ไม่ฟังอะไรจากฉันเลย ตอนนี้ฉันอยู่กับเรื่องนี้ได้แล้ว ขอไม่รื้อฟื้นเพื่อให้ฉันนึกถึงสิ่งนั้นอีกนะ

แต่ครั้งที่สอง แผลยังสด เลือดยังซึมอยู่เต็มรอยแผล ฉันจะเล่าให้ฟังแล้วกัน

เมื่อ3ปีก่อน ฉันยังเป็นเด็กนักเรียนชั้นม.4 ในตอนนั้นฉันก็ยังเป็นเด็กนักเรียนธรรมดาที่ใช้ชีวิตปกติแบบนักเรียนมัธยมทั่วไปกับเรื่องในวัย12ที่ฉันพยายามทำมันให้เลือนหายไปตามกาลเวลา มีเพื่อน มีความสุข มีความทุกข์ มีเพื่อนที่ดีและเพื่อนที่แย่ เพื่อนที่แย่กลุ่มนี้แหละที่เป็นกาลกิณีชีวิตฉัน จนฉันจะไปเผาผีถ้าเกิดพวกนั้นตายฉันยังทำไม่ลง

ช่วงนั้นฉันเป็นคนที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมของกลุ่มผู้ชาย หน้าตาของฉันในตอนนั้นก็ถือว่าดูดีพอไปวัดไปวาได้บ้าง แล้วเพื่อนไม่สิคนเคยรู้จักที่ฉันเคยรู้สึกสนิทด้วย เกิดความอิจฉาริษยาหมั่นไส้ฉันขึ้นมาเริ่มทำร้ายปล่อยข่าวลือที่โคตรจะบ้าบอที่ฉันคิดว่าแม้แต่เด็กอนุบาลยังรู้เลย

แต่ใช่ คนทั้งโรงเรียนเชื่อแต่เด็กอนุบาลในความคิดฉันไม่เชื่อ งามหน้ามั้ยล่ะ ข่าวลือที่เหลวไหลที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา ข่าวลือที่บอกว่าฉันชอบแย่งแฟนชาวบ้าน ตอนแรกฉันที่ชินชาและไม่ไหวกับเรื่องแบบนี้แล้วก็คิดว่าแค่นี้เองก็คงไม่มีใครไปเชื่อหรอก แต่ไม่ใช่ทุกคนกลับกลั่นแกล้งและด่าฉันเหมือนฉันเป็นฆาตกร เจ็ดศพ สิบศพ ล้างโคตรบรรพบุรุษพวกนั้น บางคนไม่เชื่อแต่ก็เอาฉันไปเม้าท์มอยกันสนุกปาก บางคนแค่เหงาก็อยากจะมาร่วมด่าฉันเป็นสนามอารมณ์ โดยที่ไม่มีใครแคร์สิ่งที่เรียกว่าความจริงสักนิด น่าตลกมั้ยล่ะ

แค่ฉันจะมีแฟนสักคนในชีวิตฉันยังไม่มีเลย นับประสาอะไรกับการที่บอกว่าฉันแย่งแฟนชาวบ้าน หลักฐานอะไรไม่เคยเห็น แต่ทุกคนต่างเชื่อข่าวโคมลอยพวกนั้นเหมือนเห็นมาเองกับตา ทำไมคนสมัยนี้ถึงตัดสินคนด้วยความเชื่อ และ

ตามกระแสบ้าๆของสังคม ถ้าฉันไม่มีความฝันที่อยากจะใช้ชีวิต ฉันคงพยายามจะฆ่าตัวตายอีกครั้งอย่างไม่ลังเล คนในโซเชี่ยลต่างพูดกันสนุกปาก

คนพูดคนพิมพ์ไม่เคยรับรู้ว่าคนที่โดนรู้สึกยังไง เล่นกันสนุก เล่นกันขำๆ ทั้งที่คนโดนด่าไม่เคยเล่นด้วย แต่ที่สิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บเหมือนมีดกรีดแทงฉันอีกครั้งไม่ใช่ลมปากเน่าๆของคนพวกนั้นแต่กลับเป็นคำพูดของคนที่ฉันเรียกว่าแม่ เหตุการณ์ตอนที่ฉันอายุ12 ไม่ทำให้แม่เข้าใจฉันขึ้นมาแม้แต่เศษเสี้ยว คำพูดคำด่าทอทุกคำยังฝังในสมองของฉัน ฉันที่ไม่ได้ทำอะไรเลยแต่กลับโดนทุกอย่างตลอด โลกใจร้ายแค่กับฉันล่ะมั้ง

‘นังเด็กวิปริต!! ใครสั่งใครสอนให้ไปแย่งแฟนชาวบ้าน ไม่มีปัญญาหาเองใช่มั้ย คันมากนักหรอ!! ฉันอุตส่าห์หาเงินมาให้แกเรียนแล้วทำไมแกถึงทำตัวแรดแย่งแฟนชาวบ้านแบบนี้ รอบที่แล้วแกยังไม่เข็ดอีกหรอ’

‘แม่คะ รอบนั้น ใครเป็นคนทำอะไรแม่รู้ดีอยู่แก่ใจ รอบนี้หนูก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วย’

‘จริงหรอ’

‘ใช่ หนูจะโกหกแม่เพื่ออะไรล่ะคะ เพราะความจริงแม่ก็ไม่เคยเชื่ออยู่ดี’

‘เพี๊ยะ!!!! อย่ามาตอแหล คนเขาพูดกันทั้งโรงเรียน แกจะไม่ให้ฉันเชื่อได้ยังไง ปากดีนักนะ คิดว่าดูแลตัวได้แล้วหรอถึงได้มาเถียงกับฉัน’

‘ก็เนี่ย เห็นกันอยู่ พูดไปก็ไม่เคยจะเชื่อ พอบอกก็หาว่าเถียง ถ้าแม่คิดจะเชื่อแบบนั้นตั้งแต่ทีแรกก็ไม่ต้องมาถาม แล้วถ้าแม่มองหนูเพื่อเป็นสนามอารมณ์ก็จัดการตัวเองบ้างนะคะ ไม่ได้อทำก็คือไม่ได้ทำสิ ครั้งที่แล้วแม่ก็ไม่เชื่อหนู แล้วเป็นไง ผู้ชายคนนั้นก็เข้าคุกไปเพราะข้อหาข่มขืนอยู่ดี!!’

‘หุบปาก!!! หลักฐานก็เห็นๆกันอยู่ ใครสั่งใครสอนให้เถียงผู้ใหญ่แบบนี้กัน!!’

‘….’ หลักฐานบ้าบออะไรกันล่ะที่เห็นอยู่มันก็แค่คำพูดพล่อยๆของคนบ้าๆไม่ใช่หรอ หลังจากนั้นฉันก็เงียบแล้วเดินขึ้นห้องไป หลังจากนั้นเรื่องก็ซาลง แม่คุยกับฉันปกติ แต่ไร้คำขอโทษที่ออกมาจากปาก บางทีฉันก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่าปากแข็งกับทิฐิมันต่างกันตรงไหน

สาเหตุที่ทำให้ฉันค่อยๆเริ่มสร้าง’ม่าน’ขึ้นและแสดงละครเวทีที่สวยงามออกไปแทนที่จะแสดงสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของฉัน สิ่งที่อยู่ข้างหลังม่านนั่นฉันขอเก็บไว้คนเดียวคงจะดีซะกว่าไปเล่าให้ฟังใครก็ไม่มีคนเชื่อ แล้วกลายเป็นนางเแกที่โดนกระทำอยู่ดี เรื่องจริงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่โดนขนาดนี้แล้วจะมีความสุขหรอก ไม่มีเลยสักนิด

“ดีค่ะแม่ หนูขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” ฉันพูดออกไปพร้อมกับยิ้มแย้มสดใสทั้งๆที่ในใจฉันเริ่มจะขยะแขยงมากกว่าเดิมที่คิดเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ภาพต่างๆย้อนกลับเข้ามาในหัวฉันทุกเหตุการณ์ ทุกประโยคไม่เคยลบมันทิ้งได้เลยสักครั้ง

“ได้จ๊ะ รีบลงมานะจ๊ะ” แม่พูดพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้ฉัน ถ้าเมื่อก่อนฉันคงดีใจ แต่ตอนนี้ ฉันรู้ทันทุกอย่างแล้วแถมเตือนตัวเองเสมอด้วยว่าอย่าหลงกลับมัน รอยยิ้มจอมปลอมที่เป็นการใส่หน้ากากบังหน้านี้ ฉันจะไม่มีทางเชื่อมันอีกแน่

“ค่าแม่” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสดใสแล้วรีบวิ่งขึ้นห้องไปอาบน้ำก่อนที่ฉันจะทนยิ้มหวานน่ารักแบบนี้ต่อไปไม่ไหว มันอึดอัดที่ฉันต้องอยู่แบบนี้ทุกวัน ทุกคืน ถ้าอยู่บ้านอีกนะ โคตรจะเหนื่อยเลย

แกร้ก!!

ฉันค่อยๆเปิดประตูแล้วปิดประตูเบาๆ ฉันเดินไปรอบห้องอันคุ้นเคยแล้วปลดกระเป๋าสะพายวางไว้บนเก้าอี้ แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอันอ่อนนุ่มของฉัน

สบายดีจัง… เหนื่อยจังวันนี้ ฉันใส่หน้ากกากยิ้มตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยนี่นา เหนื่อยก็คงไม่แปลก ฝืนยิ้มนี่มันเหนื่อยจริงๆ แต่มันก็คือหนทางที่ดีที่สุดที่ฉันคิดออกแล้วสำหรับทุกคน และสำหรับตัวฉันเอง ไม่มีใครที่ไหนสามารถปกป้องจิตใจของฉันได้ นอกจากตัวฉันเอง ก็แค่ใส่หน้ากากทุกวันมันคงไม่ยากอะไรมากนักหรอก ก็แค่ปกปิดและเก็บทุกอย่างไว้ที่ข้างหลังม่านนั่น ข้างในใจฉัน มันก็แค่นั้น

มันก็แค่นั้นเองนี่แล้วทำไมอยู่ดีๆฉันถึงได้รู้สึกโหวงๆ อย่างบอกไม่ถูก เก็บความรู้สึกไม่ยากนะแต่มันเหงา ทำไมถึงเหงาขนาดนี้ก็ไม่รู้ ถึงฉันจะดูไม่แคร์อะไร พร้อมปล่อยทุกสิ่ง แต่ฉันก็แอบหวังเล็กๆให้มีใครสักคน เข้ามาเปิดม่าน หรือเปิดใจฉันได้บ้าง ฉันก็แค่อยากได้ใครสักคนที่เห็นค่าฉัน เข้าใจฉัน แล้วฉันไม่ต้องยิ้มตลอดเวลา ฉันต้องการแค่ใครสักคนจริงๆ

ฟึ่บ!! ฉันรีบลุกออกจากเตียงทันทีก่อนที่ฉันจะจมอยู่ในความคิดตัวเองไปมากกว่านี้ ไม่มีใครที่ไหนบ้ามาสนใจแกหรอกเท็นเชื่อดิ ไม่มีคนแบบนั้นอยู่บนโลกใบนี้แน่ๆ ไปอาบน้ำดีกว่าก่อนที่ฉันจะเพ้อเจ้อและปวดหัวด้วยความมโนของตัวเองไปมากกว่านี้

ตึกๆๆ!!!

ฉันวิ่งลงมาข้างล่างหลังจากอาบน้ำเสร็จ กลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูก ฉันหิวและยิ้มออกมาทันทีโดยที่ไม่ต้องฝืนอะไร ฉันเชื่อว่าหลายๆคนคงจะมีเซฟโซนเป็นสิ่งต่างๆ เช่นฟังเพลง อ่านหนังสือ ดูหนัง แต่สำหรับฉันมันคือของกิน ฉันชอบเวลาที่ตัวเองกินนะ มันดู ไม่ต้องคิดอะไรมากดี ฉันสามารถปลดปล่อยตัวเองได้กับของกิน แล้วยิ่งของหวานก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นไปอีก มันทำฉันผ่อนคลายไปเยอะเลย บางวันถ้าฉันได้กินของอร่อยๆนะ หน้ากากก็หน้ากากเถอะ กลายเป็นหน้ากากอนามัยไปเลยแหละ

“แม่ มีอะไรกินหรอคะ” ฉันถามพลางยิ้มเบาๆ แล้วลดทิฐิเรื่องแม่ลงมาบ้างมื้อโต๊ะอาหารของเราสองคนจะได้ไม่อึดอัดจนเกินไป บางทีมันก็ดีมากเลยนะ แต่ฉันไม่กล้าที่จะก้าวไปหาใครแล้ว

“มีแต่ของโปรดลูกทั้งนั้นแหละ มานั่งสิ” มาแปลกแฮะวันนี้ แม่ทำของโปรดของฉันทุกอย่าง ทุกอย่างแบบทุกอย่างจริงๆ หรือว่าวันนี้จะมีอะไรหรือเปล่า

“เท็น แม่มีไรจะบอก” แม่พูดขึ้นทันทีที่ฉันใช้ความคิดอยู่ ว่าแล้วเชียว ทำไมมันแปลกๆ มีอะไรกันนะ

“คะแม่ มีอะไรหรอคะ” ฉันถามพร้อมกับสบตาแม่

“คือว่า…” เรื่องคอขาดบาดตายหรอ

“เดี๋ยวอีกอาทิตย์หน้าจะมีลูกชายเพื่อนของแม่จะมาอยู่ด้วยปีนึงนะจ๊ะ” อ๋ออ โอเค ก็แค่ผู้ชายเอง ปกติฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว มีใครมาเพิ่มคงไม่เป็นไรหรอก

“โอเคค่ะแม่ แล้วคนนี้คือใครหรอคะ” ฉันพูดกับแม่ด้วยท่าทีที่นิ่งเฉยๆ พร้อมกับสบตาแม่อยู่เหมือนเดิม

“เพื่อนแม่ต้องไปทำงานต่างประเทศแล้วเอาลูกชายไปด้วยไม่ได้ เขาชื่อ’เดย์’ แล้วเพื่อนแม่ก็ไม่อยากให้อยู่คนเดียว” อ๋อออ แค่นี้นี่เอง นั้นก็ไม่มีอะไรนี่

“โอเคค่ะแม่” ฉันตอบรับพร้อมกับเตรียมจะนั่งกินข้าว

“ลูกโอเคมั้ยจ๊ะ” ปกติก็ไม่เคยถามนี่ว่าโอเคมั้ย แปลกกว่าเดิมอีกนะ

“ก็โอเคค่ะแม่ มีอะไรหรือเปล่า” ฉันถามด้วยความสงสัย

“คือลูกจำเดย์ไม่ได้หรอ” แม่ฉันพูดขึ้นพร้อมกับมองตาฉันนิ่ง เดย์หรอ เดย์ไหนล่ะเนี่ย ดีนะเพื่อนฉันไม่มีเลย ฉันเลยพอจะนึกออกบ้าง ว่าแต่เดย์ไหน

“คนที่ลูกหนีไปอยู่กับเขาตอนอายุ12” แม่พูดทิ้งท้ายพร้อมกับนั่งลงอีกฝั่งมุมโต๊ะ

“เดย์…” น้ำเสียงฉันเปลี่ยนไปทันที ความทรงจำในวัยเด็กฉันก็โผล่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะเดย์เป็นเพียงเพื่อนคนเดียว ที่เขาอยู่ข้างฉัน และช่วยเล่นกับฉันมาตลอดในวัยเด็ก แต่ก็ห่างกันไปเพราะแม่เขาต้องทำงานที่ต่างประเทศ

ฉันแอบหวังสักนิดได้มั้ย ให้เดย์เป็นคนนั้น เป็นคนที่เข้าใจฉัน เป็นเพื่อนที่ฉันสนิทที่สุด เป็นคนที่ฉันสามารถอ่อนแอได้ เป็นคนที่ฉันสามารถเป็นตัวเองได้ เหมือนตอนที่ฉันอายุ12อีกครั้ง หลายคนอาจจะมองว่าก็แค่เด็กคนนึง แต่สำหรับฉัน นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันยิ้มได้จากข้างในจริงๆ

 

Exit mobile version