Site icon เมจิคไทม์ มีเดีย | อ่านนิยายสั้นออนไลน์ฟรี

ภาษาส่อภาษา : แมว ใต้ตึก

โดย : แมว ใต้ตึก
ลิขสิทธิ์ : Magic Time Media

ปล.บทนี้ใช้ล่ามภาษามือ

ตอนนี้เป็นยังไงบ้างหลังจากเลือกที่จะกลับมาหูหนวกอีกครั้ง

ตอนนี้ก็ยังต้องหาสิ่งที่ทำให้จิตใจสงบลงบ้างก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเจอเรื่องหนักพอสมควรเลย ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง เพราะคิดว่าคนพิการก็น่าจะได้รับความยินดีจากคนภายนอกมากกว่านี้ อีกอย่างสิ่งที่ทำเพราะคิดว่าทำถูกแล้ว และใคร ๆ ก็คิดว่าทำแบบนี้มันก็จะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น ส่วนตัวก็หวังว่าบทสัมภาษณ์นี้อาจจะทำให้สังคมไทยหันมาสนใจการกระทำของคนในสังคมกลุ่มนี้มากขึ้น

จุดเริ่มต้นมันเป็นมายังไง

ตอนแรกก่อนจะเป็นโรคหูหนวก คือประสาทหูมันเสื่อมแต่ด้วยที่บ้านอยู่กับแม่แค่สองคน ฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดีทำให้การรักษามันไม่ค่อยมีความต่อเนื่องมากซะเท่าไหร่ จึงทำให้หมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าประสาทหูเสื่อมในหูชั้นไหน เลยต้องถูกส่งไปเรียนโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนเฉพาะผู้พิการ

ช่วงแรกๆก็มีความสุขดีนะ เพราะได้อยู่กับกลุ่มคนที่คล้าย ๆ กัน ได้เป็นตัวเองดี เลยไม่ได้รู้สึกว่าแตกต่างออกไปจากสังคมที่เป็นอยู่ อาจจะเป็นเพราะยังเด็กด้วยเลย ทำให้ไม่ได้มองว่ามันแย่อะไร ก็สามารถสื่อสารกับเพื่อนด้วยภาษามือและแม่ก็พูดภาษามือด้วย เริ่มเข้าโรงเรียนสำหรับผู้พิการตั้งแต่อนุบาลเลย จำได้ว่าตอนเด็กๆ ได้เป็นตัวแทนเพื่อนในชั้นเรียนด้วย น่าจะประมาณ ป.2 มั้งได้เป็นตัวแทนห้องแล้วไปโชว์ในงานโรงเรียน

ตัวแทนอะไรหรอ

เป็นตัวแทนไปเต้น แบบเต้นประกอบเพลง

เต้นยังไงในเมื่อไม่ได้ยิน

ใช่เลยไม่ได้ยินแต่ใช้ภาษามือเต้นเอา มันสามารถเต้นเป็นเพลงได้ แล้วก็ช่วง ป.4-5 ได้รับเลือกไปเป็นตัวแทนร้องเพลง ออกแนวคัพเวอร์เพลงจากศิลปินตามยูทูปเลย

คัพเวอร์ยังไง

ใช้ภาษามือ

คัพเวอร์เพลงอะไร

เพลงรักเธอทุกวินาที ตอนนั้นดังมากเลยใคร ๆ ก็ร้องได้ หมายถึงในผู้พิการด้วยกันนะ มันมีสโลแกนของเพลงด้วย เลยทำให้พวกเราชอบเพลงนี้ทุกคนเลย

สโลแกนว่าอะไร

รู้สึกได้ แม้ไม่ได้ยิน

หลังจากที่ฟังมา อยากเอาดีทางด้านนี้ไหม

ตอนนั้นก็คิดนะ ว่าเราชอบร้องชอบเต้น แต่ช่วงนั้นก็โตพอที่จะรู้ว่าอะไรคืออะไรแล้ว เพราะไม่ได้มีแม่หรือว่าเพื่อนๆที่ โรงเรียนอย่างเดียวบนโลก แต่ยังมีป้าข้างบ้านแล้วก็ลูกๆ ของพวกป้าๆ ลุงๆ ข้างบ้านที่ทำให้รู้ว่าไม่เหมือนคนปกติทั่วไปที่ใช้เสียงเป็นการสื่อสารที่ใครก็ใช้กัน

อีกอย่างถึงเราจะชอบแล้วเพื่อนที่เป็นเหมือนกันชอบ มันก็อาจจะทำให้ไปไม่ได้ถึงสิ่งที่หวังไว้ ก็เลยล้มเลิกความตั้งใจ แล้วกลับมาสู่ชีวิตจริงเริ่มตั้งใจเรียนเพื่อหาสิ่งที่ใช้ได้จริง ๆ แต่มีวันหนึ่ง เป็นวันที่คิดว่ามันคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้อยากจะได้ยินแล้วก็พูดคุยสื่อสารกับคนในสังคมได้

เกิดอะไรขึ้น ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย

น่าจะเกิดขึ้นช่วงประมาณ ม.3 ก็เรียนในโรงเรียนสำหรับผู้พิการปกติ ใช้ชีวิตแบบคนพิการตามปกติ ตอนนั้นกำลังเดินกลับบ้านจู่ๆ ก็ มีลูกบอลพุ่งเข้ามาเร็วมาก มันลอยเข้ามาชนหัวของพอดี มันเร็วมากคือรู้ตัวอีกทีก็ล้มไปที่พื้นแล้ว สักพักก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมายื่นมือเพื่อดึงขึ้น ตอนนั้นเห็นปากเขาขยับตลอดเวลาสีหน้าของเขาเหมือนรู้สึกผิดมากๆ อาจเป็นเพราะเขาเตะบอลมาโดน แต่ไม่ได้ยินหรอกว่าเขาพูดอะไร เลยสรุปเอาเองได้ว่าเขาคงขอโทษ ก็เลยพยักหน้าแล้วก็ยิ้มๆ ขอนอกเรื่องนิดนึงนะ

ได้เลย

แค่อยากจะบอกว่าตัวเองหน้าตาค่อยข้างโอเคเลยให้ลองนึกถึง ใบเฟิร์น พิมพ์ชนกตอนเล่นหนังเรื่อง สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก ประมาณนั้นแหละหน้าตาตอนนั้นใกล้เคียงเลย

ที่อยากได้ยินเพราะผู้ชาย

ก็อาจเป็นเพราะช่วงวัยด้วย ช่วงนั้นก็ประมาณวัยรุ่นตอนต้นพอดี ทำให้เรื่องนี้อาจเป็นปัจจัยที่อยากได้ยิน อีกอย่างเด็กผู้ชายคนนั้นก็แอบหล่อด้วย ออกแนวหนุ่มตี๋ๆ แบบมันทำให้เคลิ้มเลย มันเลยเป็นป๊อปปี้เลิฟ

เขารู้หรือเปล่าว่าไม่ได้ยินที่เขาพูดเลย

ไม่น่าจะรู้นะ เพราะไม่ได้ใช้ภาษามือกับเขาเลย ก็ดูแล้วว่าในสนามบอลไม่มีเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างบ้าน เขาอาจจะเป็นเด็กที่อยู่หมู่บ้านข้างๆที่มาใช้สนามบอลเฉยๆ เขาช่วยให้ลุกขึ้น ก็ยิ้มๆ ให้เขาแล้วก็เดินออกมาเลย เขาคงคิดว่าเขินหรือว่าโกรธมากกว่า เพราะเดินออกมาเร็วมาก เห็นเขาเรียกจากกระจกมองข้างรถยนต์ข้างหน้า แล้วเขาก็ทำท่าโบกมือ ก็เลยแก้เขินโดยการเกาหัวแล้วก็โบกมือกลับแต่ไม่หันหน้าไปมอง แล้วก็วิ่งออกมาจากตรงนั้นเลย แต่ความพีคของเรื่องมันหลังจากนั้น 2-3 อาทิตย์ต่อมา

เขาวิ่งตามมา

เปล่าเลย แต่หลังจากที่โดนบอลอัดเข้าที่หัว ก็รู้สึกว่าเราได้ยินเสียงแว่วๆ แบบแว่วๆ จริงๆเลยคือมันได้ยินเสียงแบบเบามากและเร็วมากจนฟังไม่รู้ว่ามันคือเสียงอะไร เลยตัดสินใจบอกกับแม่ถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เป็นรวมทั้งสาเหตุด้วย แม่เลยคิดว่าหูอาจจะรักษาให้หายได้แม่เลยพาไปหาหมอ

ซึ่งหมอก็บอกว่าอาจจะกลับมาได้ยินได้ ถ้าลองใส่ประสาทเทียมเข้าไป แต่ติดนิดเดียวที่แม่ไม่มีเงินมากพอในตอนนั้น เลยกลับมาคุยกับแม่และแม่ก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่สมควร เพราะมันจะทำให้เราได้ใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ แล้วก็ได้โอกาสทำหลายๆอย่างมากขึ้นถ้าได้ยินและสื่อสารกับคนอื่นได้เหมือนคนทั่วไป

แม่เลยสัญญาว่าจะพาไปหาหมอและใส่ประสาทเทียมเมื่อสอบเข้า ม.4 ในโรงเรียนที่แม่อยากให้เข้าได้ และสิ่งที่มากกว่าการได้ยินคือการที่ได้รู้ว่า โรงเรียนที่จะไปสอบเข้ามีเด็กผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วย

เด็กผู้ชายคนไหน

คนที่เตะบอลอัดหัว

เลยอยากเข้าโรงเรียนนี้

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุผลให้ตั้งใจมากขึ้น

สรุปว่าอยากได้ยินเพราะอยากได้รับโอกาสหรืออยากใกล้ผู้ชาย

คงจะทั้ง 2 อย่างเลย

เป็นยังไงต่อหลังจากนั้น

ขยันมากเรียกว่าบ้าอ่านหนังสือมากๆ แบบว่าไม่ได้เล่นกับหรืออยู่กับเพื่อนหลังเลิกเรียนเลย เพราะต้องรีบกลับมาบ้านเพื่ออ่านหนังสือและติวข้อสอบเพื่อทำคะแนนให้ดี เตรียมตัวไปสอบหลังจากจบ ม.3 จากโรงเรียน บอกเพื่อนสนิทด้วยว่าเรารู้สึกว่าเราจะได้ยินเสียงเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งเพื่อนก็ดีใจด้วยที่เราจะได้ยินเสียงและขอให้สอบติดเพื่อให้มีอนาคตที่ดี

ซึ่งทำให้มีกำลังมากขึ้นที่จะสอบให้ติดและขอให้ประสาทเทียมใช้ได้ผล ระหว่างที่กำลังเดินกลับบ้านเพื่อรีบกลับไปอ่านหนังสืออยู่ดี ๆก็มีบอลลอยเข้ามาแต่คราวนี้เหมือนมันรู้หลบได้เว้ย จากนั้นเหมือนเดิมเลยเด็กผู้ชายคนนั้นก็วิ่งมาเก็บบอล แต่ว่าคราวนี้มันแปลกไปตรงที่เขาเดินมาไม่พูดอะไร เหมือนว่าตั้งใจเตะมาเพราะเขาเดินยิ้มเข้ามาหาเลย แล้วที่ทำให้ตกใจมาก ๆ คือ เขาสวัสดี

ตกใจอะไรแค่สวัสดี

ตรงใจตรงที่เข้าใช้ภาษามือกับนี่แหละ

จริงหรอ

ใช่นั่นแหละคือตอนนั้นทำตัวไม่ถูกเลย ว่าจะพูดอะไรกับเขาต่อ ระหว่างที่กำลังยืนงง เขาก็หยิบสมุดมาเขียนอะไรบางงอย่าง แล้วเขาก็พลิกให้อ่าน

เขียนว่าอะไร

เขาบอกว่าตอนนี้พูดได้ไม่กี่คำหรอกนะ แต่เธอคงน่าจะพอเข้าใจภาษาเขียน เรารู้ว่าเธอพิการทางการได้ยิน เพราะตั้งแต่ที่เราเตะบอลอัดเธอ เราก็ถามทุกคนว่าเธอเป็นใคร เธอชื่ออะไร แล้วเธอเรียนที่ไหน เราอยากรู้จักเธอมาก แต่เพราะเราไม่มีเวลาว่างมานั่งรอเธอที่สนามบอลนี้ทุกวัน เราเลยไม่มีโอกาสได้เจอเธอตั้งแต่ตอนนั้นอีกเลย

จากนั้นเขาก็วางสมุดลงและทำภาษามือว่า ขอโทษ จากนั้นเขาก็ให้จดไอดีไลน์ ใส่กระดาษอีกแผ่นมาตอนนั้นก็กำลังตกใจก็เลยทำตัวไม่ถูก ก็เลยรับมาไว้ก่อน ซึ่งตกใจจริงไม่ได้ใช้ภาษามือกับเขาเลย เพราะกลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจ รีบกลับบ้านด้วยความงง ๆ แต่พอตั้งสติได้ก็ดีใจนะที่เขาไม่รังเกียจหรือมองว่าเป็นตัวประหลาด แล้วก็พยายามคุยด้วยอีก

ดีใจเขาคุยด้วย

รู้สึกดีมาก ๆ เลย คือเหมือนตัวเองไม่ได้พิการเลย พอได้พิมพ์คุยกันทุกวันมันยิ่งเหมือนว่าตัวเอง ปกติไม่ได้แปลกแยกไปจากสังคมเลย  ที่จริงอาจเป็นเพราะการแสดงออกของเขาที่ทำให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้แปลกไปด้วยแหละที่ทำให้รู้สึกดีมาก ๆ แล้วมันก็ยิ่งเป็นแรงขับให้อยากจะทำอะไรให้สำเร็จ นั่นก็คือการได้ใช้ชีวิตในสังคมปกติกับเขา

แล้วการสอบเป็นยังไง

ก็เหมือนเป็นไปตามผลเลย เพราะเราตั้งใจมาก ลืมบอกไปด้วยว่าไม่ได้คุยกุ๊กกิ๊กกับเด็กชายคนนั้นอย่างเดียว แต่ขอให้เขาช่วยสอนในบางเรื่องที่จะต้องนำไปสอบด้วย

ทั้งหล่อ หุ่นดี เล่นกีฬา มีน้ำใจ เป็นคนดี แล้วยังฉลาดอีก

ใช่แล้วพึ่งเคยเจอเหมือนกันเนี่ยแหละ มันยิ่งทำให้ตัวเองอิจฉาเขามากเลย ที่เกิดมาสมบูรณ์แบบขนาดนี้ พอรู้ก็รู้สึกประหม่ามาก ๆ เลยเพราะเขาไม่มีที่ติสักอย่างจนเกือบจะไม่กล้าคุยกับเขา

หลังจากที่สอบติด ได้ไปทำการใส่ประสาทเทียมเลยหรือเปล่า

ยังเพราะรอเงินเดือนจากแม่ เดือนแรกต้องเข้าเรียนทั้งๆ ที่ไม่ได้ยินอย่างนั้นเลย

แล้วใช้ชีวิตยังไง

บอกตั้งแต่ที่เข้าสอบแล้ว แม่ได้เขียนไว้ในประวัติว่าเป็นอะไร แจ้งรายละเอียดไว้แล้วว่าจะสามารถเรียนได้อย่างปกติเมื่อไหร่ ซึ่งตอนแรกบอกเลยว่ายากมาก เพราะตอนอยู่โรงเรียนเดิมคุณครูก็สอนโดยใช้ภาษามือเป็นหลัก แต่พอเข้าโรงเรียนปกติ ทำให้ต้องเข้าใจในตัวภาษาเขียนอย่างเดียว ซึ่งบางครั้งมันก็ยากเพราะบางคำมันก็เป็นคำนามธรรมที่ต้องแปลมันอีกรอบ เลยทำให้ค่อนข้างที่จะหนักหน่วงในตอนแรกมาก ๆ เลย

ซึ่งตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่เรียนทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ยินก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็ต้องเรียน ๆ กันไป

เรื่องเพื่อน

ถึงจะพิการทางการได้ยินแต่ก็พอจะเขียนได้จะอ่านออก มีความสามารถพอสมควรเลยพยายามเข้าหาเพื่อนแล้วบอกทุกคนว่าตัวเองเป็นอะไรและพวกเขาจะช่วยได้อย่างไร เรารู้สึกว่าคนที่นี่นิสัยดีทุกคนเลย ส่วนตัวรู้สึกว่าทุกคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ แปลกใจเหมือนกันนะเวลาที่เห็นข่าวที่คนปกติไม่ให้ช่วยเหลือคนพิการ

ส่วนตัวมองว่ามันเป็นที่โครงสร้างทางสังคมแล้วการดูแลของภาครัฐมากกว่าที่ทำให้เกิดช่องโหว่ ทำให้การดูแลกลุ่มผู้พิการขาดตกบกพร่อง แต่พอเห็นเพื่อนๆทุกคนหรือนักเรียนในระดับชั้นเดียวกันพยายามดูแลใส่ใจ ดีมาก ๆ พยายามมาพูดด้วย พวกเขาดูอารมณ์ดีนะ หัวเราะกันบ่อยมาก บางทีก็ทำตัวไม่ถูกนะที่ทุกคนอยากจะพูดคุยด้วย หรือเล่นด้วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เข้ามาทำท่าประหลาดๆก็มี ซึ่งก็หัวเราะไปกับเขาเหมือนกัน รู้สึกดีมาก ๆ เลยที่ได้เจอพวกคนเหล่านี้แล้วก็อยากให้เพื่อนๆที่โรงเรียนที่บกพร่องได้เจอคนดี ๆ แบบนี้เช่นกัน

แล้วหนุ่มคนนั้นไปไหน

เขาเป็นนักกีฬาโรงเรียนทำให้ได้เจอกันช่วงเย็นๆเลย ทำให้เจอกันน้อยลงแต่ก็เข้าใจเขาเพราะเขาต้องทำหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน

เป็นแฟนกัน

เรื่องนั้นไม่รู้เลย ไม่กล้าถามเขาอีกอย่างเขาก็สมบูรณ์แบบจนไม่กล้าที่จะคบกับเขาเลย แค่รู้สึกว่าที่อยู่ตอนนั้นมันโอเคมาก ๆ แล้ว เลยไม่อยากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร

เขาได้บอกอะไรหรือเปล่า ลืมถามเลยว่าคุยกันมานานเขาชื่ออะไรหรอ

ชื่อแบงค์ส่วนเรื่องที่ถามตอนแรก เขาก็ยังไม่ได้บอกอะไรเหมือนก็ได้แต่คุยกับเขาทุกวันไปเรื่อย ๆ ชีวิตตอนนั้นก็ดีมาก ๆ เลย ดีจนแม่รู้สึกว่าเปลี่ยนไป

เปลี่ยนไปยังไง

ก็เริ่มดูแลตัวเองมากขึ้น เริ่มแต่งตัวดูดี หาข้อมูลเรื่องการดูแลผิวพรรณ แต่งหน้า แต่งตัว แล้วก็ดูแลสุขภาพ เรื่องการเรียนก็เหมือนกัน ได้เพื่อนๆในห้องช่วยด้วยเลยทำให้พัฒนาตัวเองเก่งขึ้นเรื่อย ๆ จนสอบได้ TOP 5 ของห้องตั้งแต่เทอมแรกเลย

ที่ฟังมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยอมให้ตัวเองกลับมาไม่ได้ยินอีก

มันเริ่มตั้งแต่ที่เราได้ยินเลยค่ะ

เป็นยังไง

คือแม่เข้ามาคุยหลังจากที่จบเทอมแล้วเพราะตัวเองทำเกรดได้ดีมาก ๆ จนแม่ก็แอบตกใจเหมือนกัน แม่เลยรู้สึกว่าสมควรที่จะได้รับรางวัล นั่นก็คือการใช้ชีวิตปกติกับเพื่อนๆในโรงเรียนได้ แม่เลยขยับการใส่ประสาทเทียมเข้ามาเร็วขึ้น

ตอนนั้นดีใจมาก ๆที่จะได้คุยกับเพื่อน ๆ ได้อย่างปกติแล้ว อยากจะบอกกับแบงค์เป็นคนแรกเลย เพราะอยากให้เขาโทรมาหาเป็นคนแรก อยากได้ยินเสียงเขาเป็นคนที่ 2-3 รองลงมาจากเสียงหมอแล้วก็แม่ แต่อีกใจก็อยากจะเซอร์ไพรส์เขา แต่ต้องบอกก่อนว่าตัวเองพิการแค่ทางการได้ยินแต่การออกเสียงปกติดีติดตรงที่ว่าไม่ได้ยินเลยทำให้ไม่รู้จะเปล่งเสียงอะไรออกไปมันจึงทำให้ต้องเรียนรู้ภาษาพูดหลังจากได้ยิน ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีที่จะทำตัวไม่ได้ยินต่อไปเพื่อให้เข้าใจภาษาพูดก่อน ถึงจะสามารถเปล่งเสียงออกไปให้ตรงกับคำที่อยากจะพูด

ซึ่งหลังจากที่ได้ยินแล้ว ตอนแรกมันยากมากเลยดีที่ช่วงนั่นปิดเทอมพอดีเลยได้ฝึกเข้าใจภาษาพูดเข้าใจเสียงที่ได้ยินออกมาว่ามันแปลว่าอะไร

ฝึกกับใคร

ยูทูปเลยตอนแรก เข้าไปฟังเสียงตั้งแต่พยัญชนะ สระ แล้วก็วรรณยุกต์ เพื่อเข้าใจว่าออกเสียงอย่างไรบ้าง จากนั้นก็เริ่มที่จะพูดตาม ซึ่งสามารถช่วยได้มาก ๆ เลย หลังจากนั้นเลยลองกับคนจริง ๆ บ้างเรียกได้ว่าช่วงนั้นหมดเงินไปเยอะเหมือนกัน

หมดไปกับอะไร

สั่งของผ่านเดลิเวอร์รี่ ขอแม่อาทิตย์ละครั้งถูกบ้างผิดบ้าง ปน ๆ กันไป หมดไปเยอะเหมือนกันเพราะเอยากพูดได้หลายคำ จนแม่ต้องขอให้กลับไปฝึกกับยูทูปเหมือนเดิม แต่ก็ถือว่าเข้าใจมากขึ้นในระดับหนึ่งเลย ก็อยู่อย่างนี้มาเกือบเดือนก่อนที่จะเปิดเทอม แต่ไม่ได้บอกใครที่โรงเรียนเลยคิดไว้ว่าผ่านไปสักอาทิตย์จะเซอร์ไพรส์แบงค์แล้วก็เพื่อนๆในห้อง

เพื่อนๆ คงจะตกใจกันน่าดู

เรียกว่าตกใจเลยก็ได้ เพราะตัวเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เริ่มตั้งแต่เข้าโรงเรียนเลย เป็นการเปิดเทอมวันแรกที่มีความสุขตั้งแต่เกิดมาเลยก็ว่าได้ เพราะรอที่จะได้ยินเสียงเพื่อนๆ รวมทั้งเสียงของแบงค์

นั่งรถไปโรงเรียนด้วยรถสองแถวซึ่งแปลกไปจากทุกวัน เพราะได้ยินเสียงทุกอย่างที่นั่งรถผ่าน ได้ยินเสียงแตรที่บีบกันบนถนนที่ดังมาก ๆ จนรู้สึกว่ามันน่ารำคาญ ได้ยินเสียงคนขับรถสองแถวที่ด่าพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่ขับรถปาดหน้ากันไปมาด้วยคำหยาบคาย จนตัวเราเองถึงกับสงสัยว่าโกรธอะไรกันขนาดนั้น ได้ยินเสียงกระเป๋ารถสองแถวที่ตะคอกใส่ผู้โดยสารให้รีบจ่ายเงิน ซึ่งก็โดนเหมือนกันทั้ง ๆ ที่พี่เขาก็รู้ว่าไม่ได้ยินเพียง แต่ครั้งนี้ได้ยินเสียงพี่เขาแล้ว เป็นการนั่งรถสองแถวครั้งแรกที่รู้สึกโหดร้ายมากเลย ในใจก็แอบคิดว่าดีแล้วที่ไม่ได้ยิน

ที่โรงเรียนเป็นยัง

สุดจะบรรยายเลย

ทำไมหรอ

เหมือนโดนหลอกมาโดยตลอดเลย แต่ละคำพูด การแสดงออก ท่าทางแปลกบวกกับการหัวเราะของพวกเขามันทำให้มองโลกเปลี่ยนไปอย่างมาก ๆ เลย

อธิบายให้ละเอียดเลยได้ไหม

หลังจากที่เข้าโรงเรียนทุกอย่างปกติมาก ๆ ไหว้คุณครูหน้าโรงเรียนทุกอย่างเหมือนเดิม เหมือนกับวันแรกที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนนี้ เข้าแถวเคารพธงชาติปกติเดินขึ้นชั้นเรียนปกติ ที่เปลี่ยนไปคือห้องเรียนและโต๊ะเพราะเทอมใหม่แต่ก็ยังนั่งกับเพื่อนคนเดิมปกติ พอเริ่มเรียนปกติ ครูสอนปกติ ทุก ๆ อย่างปกติ เพียงแต่ได้ยินเสียงของเพื่อน ๆ และคุณครูแค่นั้นเอง

ได้ยินเสียงคุณครูบ่นพวกผู้ชายที่ไม่ยอมเรียนและแอบเล่นเกมมือถือ ได้ยินเสียงเพื่อนร้องเพลงหลังจากที่คุณครูออกไป ได้ยินเสียงพูดคุยกันของแก๊งผู้หญิงในห้อง ซึ่งมันก็เป็นช่วงพักกลางวันพอดี ส่วนตัวก็มีเพื่อนที่ไปกินข้าวด้วยกันทุกวันนะ มีประมาณสี่ห้าคน กินข้าวกับพวกนี้ตั้งแต่เข้ามาใหม่ ๆ แล้วเพื่อน ๆ คนอื่นก็มานั่งกินข้าวด้วยเหมือนกัน ระหว่างที่กำลังจะลุกไปกินข้าวก็ได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหลังว่า “ขอแอบดูกางเกงในหน่อยได้ไหมว่าวันนี้ใส่สีอะไรมา ” พอได้ยินถึงกับนิ่งไปเลย แต่ตั้งสติได้เราจึงเดินต่อไปกับเพื่อน ๆ เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าได้ยินแล้ว

จากนั้นพอเริ่มเดินออกมาเรื่อย ๆ พวกผู้ชายก็ตะโกนมาอีกว่า “ หนวกจ๋า วันนี้กินข้าวให้อร่อยนะแล้วรีบกลับมาให้แซวอีกนะ ” จากนั้นก็ขำกันใหญ่ ทางที่เดินเลี่ยงเป็นมุมที่เห็นพวกนั้นขำพอดี พวกนั้นเลยทำมือเชิญให้ไปกินข้าวแล้วก็นั่งขำกันต่อไป ระหว่างที่กำลังเดินจะพ้นห้องผ่านโต๊ะของแก๊งผู้หญิงในห้อง ช่วงที่กำลังจะพ้นโต๊ะก็ได้ยินคนในกลุ่มพูดขึ้นมาว่า “ มึง สักวันกูคงต้องตบอีนั่นแล้วแหละวะ ดูจะสนิทกับแบงค์ของกูมากไปแล้ว ” ระหว่างที่พูดไปก็หันมายิ้ม ซึ่งตัวเองก็ทำได้แค่ยิ้มกลับไป เพราะก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงกับเหตุการณ์นี้เหมือนกัน เพื่อนในแก๊งก็ยังหันมายิ้มให้แล้วก็พูดอีกว่า “ มึงคิดว่าแบงค์จะเอาอีหนวกเป็นแฟนหรอ เขาคงคุยเล่น ๆ เพราะเป็นของแปลกแหละมึงไม่ต้องคิดมากหรอก ถึงจะหน้าตาดีแต่ก็พิการนะมึง ขืนคบไปคงจะใช้ชีวิตยากน่าดู ”

รู้สึกชาไปทั้งตัวเลย ไม่เคยคิดว่ามันโลกจริง ๆ จะโหดร้ายขนาดนั้น เพราะตอนนั้นทำได้แค่ยิ้มเพียงอย่างเดียวจริง ๆ

ละครหรือเปล่า

นี่คือชีวิตจริงที่เจอมา การที่เห็นเพื่อนในห้อง ยิ้ม หัวเราะ และเข้ามาพูดคุยด้วย เขาเข้ามาพูดสิ่งพวกนี้ทั้งนั้นเลย ทั้งท่าทางที่ทำบวกกับคำพูดมันคือการล้อเลียน เป็นตัวตลก พวกเขาไม่เคยทำร้ายร่างกายเลย แต่เขาใช้เสียงที่ไม่ได้ยินมาเป็นเรื่องสนุกของทุกคน เดินมาด่าแรง ๆ บ้าง เดินมาพูดจาลามก ลวนลามบ้าง พอหันไปพวกเขาก็ยิ้มให้ ก็เลยคิดว่าพวกเขาดีมาตลอด

ทำยังไงต่อหลังจากที่เจอแบบนี้

ก็ต้องทำใจอย่างเดียว ช่วงอาทิตย์แรก ๆ ที่เจอ รู้สึกแย่กับตัวเองมาก ๆ เพราะถูกใช้คำพูดต่าง ๆ นา ๆ ทำให้รู้สึกด้อยค่า ไร้ค่าไปเลย กลับบ้านมาร้องให้ทั้งคืน ไม่กล้าบอกแม่เพราะกลัวแม่จะไปเอาเรื่องถึงโรงเรียน แล้วจะทำให้เรื่องมันใหญ่โตไปมากกว่านี้ ตัดสินใจที่จะโกหกแม่ว่าบอกทุกคนไปแล้วว่าได้ยินและพูดได้ เพราะถ้าแม่รู้แบบนี้คงทำให้แม่คิดว่าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ จากนั้นก็ต้องไปโรงเรียนทั้ง ๆ ที่ต้องเจอกับเพื่อนในห้องเรียนที่ทำให้รู้สึกไร้ค่าทุกวัน

นานแค่ไหน

จนจบ ม.ปลาย

ทำไมถึงทนมาได้นานขนาดนี้

กลัวแม่รู้สึกไม่ดีที่ทำให้ได้ยินค่ะ อีกอย่างก็ยังพอเหลือสิ่งดี ๆ ในชีวิตบ้าง

อะไรคือสิ่งดีๆ

เพื่อนที่โรงเรียนเก่า พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ เลยตัดสินใจที่กลับไปสอนบางวิชาที่โรงเรียนไม่ได้สอนให้เพื่อนๆ เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากขึ้นเป็นประโยชน์กับคนบางกลุ่มถึงจะน้อยนิดแต่มันก็ยังทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

แล้วแบงค์ละ ตอนนี้ยังคบกันอยู่ไหม

ไม่ เลิกติดต่อกันตั้งแต่จบจากโรงเรียนแล้ว

อ้าว เกิดอะไรขึ้น

เขาก็ทำกับรุนแรงพอสมควรเลย

ยังไง

คือหลังจากที่เจอคำพูดแรง ๆ ของเพื่อนในห้อง ก็รู้สึกแย่จนไม่อยากเจอใคร ช่วงนั้นบอกแบงค์ไปว่าต้องอ่านหนังสือแล้วก็ช่วยแม่ทำงาน ยังไม่พร้อมที่จะเจอใครจริง ๆ ช่วงนั้นก็เลยห่าง ๆ กันพอสมควร เป็นอาทิตย์เลยกว่าจะได้นัดเจอกัน ต้องทนกับคำพูดของเพื่อน ๆ ซึ่งคำพูดของแก๊งสาว ๆ ในห้อง มันรุนแรงเหมือนกัน ก็เลยคิดที่จะขยับออกมาจากความสัมพันธ์ ตัดสินใจที่จะบอกว่าตัวเองพูดได้แล้วและเจอเรื่องที่ไม่คิดว่ามันจะโหดร้ายขนาดนี้

เขาเข้าใจหรือเปล่า

ก็คงไม่เข้าใจ

เป็นเหมือนเพื่อนๆในห้อง

ก็คงไม่ต่างกัน แต่มันต่างตรงที่ตัวเราเองคิดว่าเขาคงไม่ใช่คนแบบนั้น แต่พอเจอจริง ๆ มันก็รู้สึกแย่เหมือนกัน วันนั้นเข้าไปหาเขาเตรียมตัวที่จะพูดกับเขาทุกเรื่องและคิดว่าเขาคงจะเข้าใจในสิ่งที่ต้องพบเจอ แต่เรื่องกลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย คือไปเจอกันก็ทำตัวปกติ รอเขาซ้อมบอลเสร็จ สักพักเขาก็เดินมากับเพื่อนสองสามคนเหมือนเดิมก็พอจะรู้จักเขาเหมือนกัน ไม่ได้สนใจอะไร

แต่คำแรกที่หนึ่งในเพื่อนที่เดินมานั้นถามกับแบงค์ก็คือ

“เมื่อไหร่มึงจะถ่ายคลิปน้องหนวกให้กูดูว่ะ กูรอนานแล้วนะ ”

ตกใจมาก ๆ เลย ไม่ได้เตรียมใจมาเลยที่จะเจอกับเรื่องแบบนี้อีก ได้แต่นั่งเงียบ ๆ ฟังบทสนทนาของแบงค์และเพื่อน ๆ แบงค์ตอบกลับเพื่อนไปว่า

“ มึงก็ใจเย็น ๆ ดิวะ มันฟังเรารู้เรื่องที่ไหนกัน กว่ากูจะคุยเข้าใจได้แต่ละเรื่องโครตเหนื่อย นี่ทนมาถึงทุกวันนี้ได้ก็ถือว่าดีมากแล้วนะเว้ย กูโคตรเบื่อเลยที่ต้องเรียนภาษามือคุยกับมันทุกวัน อยู่ดี ๆ จะไปขอแบบนั้นก็หาว่าข่มขืนคนพิการดิวะ”

ระหว่างที่แบงค์พูดก็ได้แต่นั่งมองหน้าไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้จากเขาเลย แบงค์ยิ้มและคุยกับเพื่อนต่อไป จนเพื่อนกลับไปกันหมดเหลือแต่เราสองคน แบงค์ขอไปส่งที่หมู่บ้านเหมือนเดิมระหว่างที่เดินกลับบ้าน เขาก็พูดภาษามือด้วยตลอดทางเหมือนเดิม แต่ปากที่พูดออกมานั่นไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นเลย ซึ่งมีอยู่คำนึงที่ได้ยิน มันทำให้รู้สึกไร้ค่าและอยากจะร้องไห้ใส่หน้าเขา

คำว่าอะไร

เขาทำภาษามือว่า “ เธอเป็นคนที่น่ารักมาก ๆ ฉลาด คงไม่มีใครโชคดีที่จะได้เจอคนน่ารักที่นิสัยดีแบบนี้ ต่อให้เธอไม่ได้ยินเราก็ชอบเธอนะ เราอยากจะขอเธอเป็นแฟนได้ไหม”

ไม่เห็นจะตกใจอะไรเลย เขาขอเป็นแฟน

ใช่ไม่น่าตกใจ ถ้าปากที่พูดออกเสียงออกมามันไม่ได้พูดคนละเรื่องกัน ขอไม่พูดถึงนะว่าเขาพูดว่าอะไรแต่เขาพูดจบถึงกับทำตัวไม่ถูกเลย ไม่ได้พูดอะไรกับ แบงค์อย่างที่เตรียมไว้เลย ต้องทนเจอคำพูดร้าย ๆ ของแก๊งสาว ๆ ในห้อง คำพูดคุกคามทางเพศจากแก๊งผู้ชายในห้อง และยังต้องเจอคำพูดดูถูกของแบงค์ทุก ๆ วัน

ช่วงนั้นนอนร้องให้ทุกคืน อยากตื่นมาแล้วไม่ได้ยินเหมือนเดิมแต่ทำไม่ได้ ทำได้แค่เดินเป็นคนหูหนวกต่อและโกหกคุณครูที่โรงเรียนว่าหมอไม่สามารถรักษาให้หายได้ ต้องเรียนไปทั้ง ๆ แบบนี้รู้สึกแย่มาก เพราะการเรียนเก่งก็ทำให้เพื่อนในห้องเกลียดเหมือนกัน ทุกคนเดินเข้ามายิ้มให้แต่ปากของพวกเขากลับด่าทอเต็มที่ เรื่องที่สอบได้คะแนนดีกว่าพวกเขา

เสียใจมากที่เรียนดีแต่สังคมเพื่อนในห้องไม่ยอมรับ มันทำให้เกรดตกลงมาจนแม่ต้องตกใจ ต้องกลับมาตั้งใจเรียนเพื่อไม่ให้แม่สงสัยว่าเป็นอะไร มันถือเป็นสามปีที่ทำให้รู้เลยว่าการถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนมันเป็นเรื่องที่แย่มาก ๆ หวังทุกวันให้มันผ่านไปโดยไม่รู้สึกอะไร

แต่ตอนนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมากที่ผ่านเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดมาได้ แต่ก็ขอขอบคุณเพื่อน ๆ และเขาคนนั้นมาก ๆ เลย ถ้าไม่เจอพวกเขาเราคงไม่สามารถเลี้ยงแม่และทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ อย่างน้อยมันก็คุ้มค่าที่โดนมาตลอดสามปี

อยากฝากอะไรถึงเพื่อนเก่า

ก็อยากจะขอบคุณทุกเหมือนที่บอกไปก่อนหน้า ที่ทำให้หนังสือที่เขียนขายดีขนาดนี้ ถึงตอนแรกถูกตั้งกระทู้ว่าแต่งเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า เลยใส่ภาพและชื่อจริงของเพื่อนๆ ลงไปท้ายเล่มเพื่อความสมจริงด้วย ขอให้สนุกกับหนังสือเล่มนี้ ตอนนี้ถ้าอยากมาด่าอะไรก็คงไม่ได้ยินแล้ว เพราะถอดประสาทเทียมออกแล้วไป

Exit mobile version