เบ็งกะอี เป็นผู้มีชื่อเสียงในการเทศนาธรรม
คนที่มาฟังท่านนั้นไม่ใช่เฉพาะแต่ในวงของพวกนิกายเซน
พวกนิกายอื่น หรือสังคมอื่น ก็มาฟังกัน
ชนชั้นไหนๆ ก็ยังมาฟัง เพราะว่าท่านไม่ได้เอาถ้อยคำในพระคัมภีร์ หรือในหนังสือ หรือในพระไตรปิฏก มาพูด
แต่ว่าคำพูดทุกคำนั้น มันหลั่งไหลออกมาจากความรู้สึกในใจของท่านเองแท้ๆ
ผลมันจึงเกิดว่า คนฟังเข้าใจหรือชอบใจ แห่กันมาฟังจนทำให้วัดอื่นร่อยหรอคนฟัง
เป็นเหตุให้ภิกษุรูปหนึ่ง ในนิกายนิชิเรนโกรธมาก คิดจะทำลายล้างอาจารย์เบ็งกะอีคนนี้อยู่เสมอ
.
.
.
วันหนึ่ง
ในขณะที่ท่านองค์นี้กำลังแสดงธรรมอยู่ในที่ประชุม พระอวดดีก็มาหยุดยืนอยู่หน้าศาลา แล้วตะโกนว่า
“เฮ้ย อาจารย์เซน หยุดประเดี๋ยวก่อน ฟังฉันก่อน ใครก็ตามที่เคารพท่าน จะต้องเชื่อฟังคำที่ท่านพูด แต่ว่าคนอย่างฉันนี้ไม่มีวันที่จะเคารพท่าน ท่านจะทำอย่างไร ที่จะทำให้ฉันเคารพเชื่อฟังท่านได้”
เมื่อภิกษุอวดดีองค์นั้นร้องท้าไปตั้งแต่ชายคาริมศาลา ท่านอาจารย์เบ็งกะอีก็ว่า
“มาซี ขึ้นมานี่ มายืนข้างๆ ฉันซี แล้วฉันจะทำให้ดูว่าจะทำอย่างไร”
พระภิกษุนั้นก็ก้าวพรวดพราดขึ้นไปด้วยความทะนงใจ ฝ่าฝูงคนเข้าไปยืนหราอยู่ข้างๆ ท่านอาจารย์เบ็งกะอี
ท่านอาจารย์เบ็งกะอีก็ว่า “ยังไม่เหมาะ มายืนข้างซ้ายดีกว่า”
พระถือดีรูปนั้นก็ผลุนมาทีเดียวมาอยู่ข้างซ้าย
ท่านอาจารย์เบ็งกะอีก็บอกอีกว่า ฎอ๋อ ถ้าจะพูดให้ถนัดต้องอย่างนี้ ต้องข้างขวา ข้างขวา”
พระองค์นั้นก็ผลุนมาทางขวา พร้อมกับมีท่าทางผยองอย่างยิ่ง พร้อมที่จะท้าทายอยู่เสมอ
ท่านอาจารย์เบ็งกะอีจึงว่า
เห็นไหมละ ท่านกำลังเชื่อฟังฉันอย่างยิ่ง
และในฐานะที่ท่านเชื่อฟังอย่างยิ่งแล้ว
ฉะนั้นท่านก็นั่งลงฟังเทศน์เถิด