Site icon เมจิคไทม์ มีเดีย | อ่านนิยายสั้นออนไลน์ฟรี

ดื้อ : ก.ไกรศิรกานท์

โดย : ก.ไกรศิรกานท์
ลิขสิทธิ์ : Magic Time Media

[๑]

แม่นอนซมมาสามวันแล้ว จนเธอนึกเบื่อและเอือมระอาเต็มทีกับอาการ “ดื้อยา” ของแม่ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่จะพยายามดื้อรั้นเก็บ “รักษา” โรคเอาไว้กับตัวทำไม ในเมื่อก็ไม่เห็นจะเป็นดอกเป็นผลกับใครในบ้านเลยสักคน จะมีก็แต่คนบ่นให้รำคาญหู

[คำว่า “ยา” ในภาษาไทยถิ่นเหนือ ถ้าใช้เป็นคำกริยาจะมีความหมายว่า “รักษา” ดังนั้นคำว่า “ดื้อยา” ในที่นี้จึงมีความหมายว่า การดื้อดึงไม่ยอมให้รักษาอาการนั่นเอง]

เจ้าฟลุ๊ค กับ เจ้าแฟรงค์ — ลูกชายตัวดีทั้งสองคนของเธอก็มักจะถือเอาอาการดื้อยาของยายเป็นข้ออ้างที่จะไม่กลับบ้านหรือกลับบ้านช้าเสมอ จะมีก็แต่สามีของเธอกระมัง ที่ดูจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวเอาเสียเลยกับอาการ “ดื้อยา” ของแม่ยาย

“แหม … คุณก็ คุณแม่ท่านอายุมากแล้วนะ ก็ต้องมีเจ็บออด ๆ แอด ๆ บ้างเป็นธรรมดา”

เธอแอบสังเกตเห็นว่าเขามักจะระบายยิ้มออกมาด้วยเสมอเมื่อพูดประโยคนี้ซ้ำ ๆ

แฟรงค์ โตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วในปีนี้ ขนคิ้วที่ดกดำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นแอบนำเอาปีกกามาวางพาดไว้เหนือดวงตากลมคู่สวย ประกอบกับริมฝีปากได้รูป บางแดงระเรื่อบนดวงหน้าที่ได้สัดส่วนสมบุรุษเพศเข้าขั้น “พระเอก” ทำให้คนเป็นแม่อย่างเธออดเป็นห่วงไม่ได้ทุกครั้งเมื่อลูกชายคนเล็กโทร.มาบอกว่า “วันนี้ผมขอกลับบ้านเย็นหน่อยนะแม่ มีติวกับเพื่อนนิดหน่อย”

เพราะเธอกลัวเหลือเกินว่า “นิด” กับ “หน่อย” ในประโยคนั้น จะเป็น “เพื่อนสาว” ของลูกชาย ยิ่งถ้าเป็นเพื่อนสาวที่ระริกระรี้จนตัวสั่น เพราะอยากจะเป็น “เจ้าสาว” ในอนาคตของลูกชายเธอแล้วล่ะก็ บอกตามตรงว่าคนเป็นแม่เธอก็ไม่อยากจะยิ้มต้อนรับสักเท่าไรนัก

‘คุณพ่อ มอ.หก’ ไม่ควรจะเป็นย่อหน้าใดย่อหน้าหนึ่งในวรรณกรรมชีวิตที่ลูกชายคนเล็กของเธอต้องอ่าน

ฟลุ๊ค อายุครบยี่สิบห้าปีแล้วในปีนี้ ใคร ๆ ชอบพูดกันให้เธอแอบไม่สบายว่าช่วงเวลาแห่งเบญจเพสมักจะมีอาถรรพณ์เสมอ เพราะเทพแห่งโชคชะตามักจะเลินเล่อปล่อยให้ตัวเคราะห์ร้ายมาก่ออุบัติเหตุในชีวิตคนเราถี่และบ่อยครั้งเกินไป จนอาจถือนับเอาเป็นกราฟเส้นสถิติที่มองไม่เห็นก็ย่อมได้

ลูกชายคนโตของเธอยังไม่ได้บวชให้แม่ เพราะพอเรียนจบ รับปริญญาปุ๊บก็ได้เข้ารับราชการปั๊บ เป็นคุณครูสอนเด็ก ๆ อยู่ในโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดข้างเคียง หากแต่ระยะทางจากบ้านไปถึงโรงเรียนเกือบร้อยกิโลเมตร จึงทำให้เขาตัดสินใจพักนอนอยู่ที่บ้านพักครูซึ่งทางโรงเรียนได้จัดไว้ให้สำหรับครูที่อยู่ไกล แทนการเดินทางไป-กลับทุก ๆ วัน

เขาจะกลับมาบ้านก็เพียงแค่สัปดาห์ละครั้ง โดยมากก็มักจะเป็นตอนเย็นของวันศุกร์ และจะออกเดินทางกลับไปโรงเรียนอีกทีก็ในตอนบ่ายของวันอาทิตย์

เธอก็ไม่ทราบว่าเป็นด้วยเหตุผลกลใด พักหลัง ๆ มานี้ลูกชายคนโตของเธอถึงไม่ค่อยจะกลับบ้านตามกำหนดอย่างเคย จากสัปดาห์ละครั้งก็เริ่มขยายเป็นสองสัปดาห์กลับเสียครั้งหนึ่ง และจากสองสัปดาห์กลับเสียครั้งหนึ่งก็กลายมาเป็นเดือนละครั้งในพักหลัง ๆ

เธอก็ได้แต่หวังว่าอาการป่วยและไม่ยอมไปรักษาของ “คุณยาย” คงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้หลานชายไม่อยากที่จะกลับบ้าน

อีกสองวันก็จะถึงวันคล้ายวันเกิดของเธอแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีสมาชิกคนใดในบ้านจำวันเกิดของเธอได้เลยสักคน

ช่างมันเถอะ ภาพความหวังที่ว่าจะมีตุ๊กตาหมีผูกโบสีชมพูอยู่ในกล่องสีสวยใบใหญ่ … แอบซุกอยู่ใต้ผ้าห่มหรือตู้เสื้อผ้านั้น สีของมันเริ่มจะซีดและจางลง ๆ เรื่อย ๆ ไปทุกวัน ๆ … นับตั้งแต่ที่เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว

อ่อ…ภาพใบเดียวกันนั้นกลายเป็นกระดาษที่ว่างเปล่าตอนที่เธอแต่งงานและมีลูกนี่เอง

เสียงไอแห้ง ๆ ติดกันถี่ ๆ ดังออกมาจากห้องข้าง ๆ อากาศหลังเที่ยงคืนเริ่มเย็นลงบ้างแล้ว แม่คงนอนเปิดพัดลม แล้วตอนใกล้งีบหลับก็คงจะเผลอลืมห่มผ้าอย่างที่เธอเองก็ชอบทำบ่อย ๆ เมื่อครั้งที่เธอยังเด็ก ซึ่งเธอเองยังคงจำได้ดีว่าแม่นี่แหละที่แอบย่องเข้ามาปิดพัดลมและห่มผ้าให้

เธอไม่รู้เหมือนกันว่าเทพเจ้าแห่งความทรงจำใช้กล้องหรือแผ่นฟิล์มชนิดใดบันทึกภาพแห่งความประทับใจนั้นไว้ มันถึงยังคงแจ่มชัดแนบสนิทอยู่ในอณูเนื้อวิญญาณของเธอจวบจนกระทั่งบัดนี้

สามียังคงหลับสนิทแบบไม่ปกปิดเสียงกรนเหมือนทุกครั้ง ในขณะที่เธอค่อย ๆ ย่องลงจากเตียง …แอบไป ‘ดู’ แม่ที่ห้อง

ห้องของแม่ไม่ได้ลงกลอน เธอแอบยิ้มกับตัวเองในความมืด นี่คงเป็นเรื่องหนึ่งในบรรดา ‘เรื่อง’ ที่มีอยู่เพียงไม่กี่เรื่อง … ที่แม่ยอมทำตาม ‘คำสั่ง’ ของเธอ

‘หนู ‘ขอ’ ล่ะแม่ ถ้าเกิดแม่เป็นอะไรขึ้นมา ใครเขาจะเข้าไปช่วยได้ทัน เจ้าฟลุ๊คกับเจ้าแฟรงค์มันคงไม่มีแรงพังประตูเข้าไปช่วยแม่เหมือนกับในละครน้ำเก่าหลังข่าวหรอกนะ’

ภายในห้อง จะเรียกว่ามืดสนิทก็ไม่เชิง เพราะพอปรับสายตาให้ชินกับห้องที่ปราศจากแสงไฟได้สักครู่ เธอก็เห็นภาพสลัวรางของหญิงชราคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้ที่ไม่สูงเท่าไรนัก

นี่ถ้าพ่อของเธอยังอยู่จะเป็นอย่างไรนะ?

แม่จะดื้อแบบนี้หรือเปล่า?

ไม่มีคำตอบจากกระแสความคิด พ่อจากไปเกือบสิบปีแล้ว มันนานเกินที่จะเอามาช่วยอนุมานคำตอบ

แม่ลืมปิดพัดลมและไม่ยอมห่มผ้าจริง ๆ เสียด้วย อากาศเย็นคงทำให้อาการไอของแม่กำเริบ เธอค่อยบรรจงห่มผ้าให้แม่อย่างเบามือ ประหม่านิดหน่อยด้วยกลัวว่าแม่จะตื่น ชั่วขณะหนึ่งของความคิดทำให้อดนึกสงสัยไม่ได้ … คราวที่แม่แอบเข้ามาห่มผ้าให้เธอในครั้งที่เธอยังเป็นเด็ก แม่จะประหม่าแบบนี้เหมือนเธอหรือเปล่านะ?

เธอเดินออกไปจากห้องโดยไม่ลืมที่จะปิดพัดลม…

ความมืดทำให้เธอไม่ทันได้สังเกต ว่าร่างที่นอนอยู่บนเตียงนั้น…แย้มยะยิ้มออกมาเล็กน้อยในความเงียบงัน

[๒]

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดี …

ลูกชายคนเล็กของเธอไปโรงเรียนแล้วแต่เช้าตรู่ ลูกชายทั้งสองคนมีข้อดีที่เหมือนกันคือไม่เคยสร้างเรื่องยุ่งยากลำบากใจให้พ่อแม่ ไม่เคยมีปัญหาการเรียน ลักเล็กขโมยน้อย ชู้สาว ทะเลาะวิวาท หรือแม้แต่กรณีของยาเสพติดให้พ่อแม่ต้องมานั่งกลุ้มใจ ตามเช็ดตามล้างเหมือนกับครอบครัวอื่น ๆ ที่เธอเคยรับรู้ข่าวคราวมาบ้าง

เกือบเก้าโมงแล้ว แต่แม่ยังไม่ยอมลุกออกมาจากห้องนอน วันนี้แม่ตื่นสายผิดปกติ กำลังจะเดินไปเคาะห้องเรียก ก็เห็นแม่เปิดประตูเดินออกมาพอดี

โชคดีที่บ้านของเธอค่อยข้างหลังใหญ่ มีห้องน้ำและห้องนอนหลายห้อง ทั้งสำหรับแขกและสำหรับสมาชิกในบ้าน เพราะถึงแม้ว่าบ้านจะมีสองชั้น แต่บ้านชั้นบนก็เหมือนจะมีเอาไว้สำหรับเปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์จิ้งจก โดยมีท่านตุ๊กแกตัวเขื่องเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แบบไม่ขอรับเงินเดือน เพราะจนแล้วจนรอดถึงป่านนี้ชั้นบนก็ยังเป็นที่ที่ไม่มีใครยอมเสียสละขึ้นไปอยู่ … ด้วยเหตุผลง่าย ๆ อีหรอบเดียวกันว่า “ขี้เกียจเดินขึ้นบันได”

แม่ของเธอขอนอนชั้นล่างเพราะไม่อยากจะเดินขึ้นบันไดให้เปลืองฟันเฟืองหัวเข่า เธอและสามีก็เลยย้ายลงมานอนอยู่ห้องข้าง ๆ เพื่อจะได้สะดวกในการดูแลยามกลางค่ำกลางคืน ส่วนลูกชายทั้งสองคนก็ขออยู่อีกห้องถัดไปในชั้นเดียวกัน โดยให้เหตุผลหนักแน่นและชัดเจนว่า “พวกผมไม่อยากนอนให้สูงกว่าพ่อกับแม่…เพราะยังไม่ได้บวช”

“แหม โตจนจะมีลูกมีเมียกันอยู่แล้ว ทั้งพี่ทั้งน้อง”

วันไหนที่อารมณ์ดี เธอก็เคยพูดหยอกเย้าลูกชายทั้งสองเล่นบ้างเหมือนกัน และยังจำได้ดีว่าเจ้าฟลุ๊ค — ลูกชายคนโตยังแกล้งหอมแก้มเจ้าแฟรงค์ — ผู้เป็นน้องชายให้เธอดูอยู่เลย พร้อมกับทำหน้าตาทะเล้นหากแต่แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เอ๊ะ …นั่นซิ อายุจนปูนนี้แล้ว ผมยังไม่อยากจะแต่งงานเลย หรือว่าผมจะเป็นเกย์ฮะแม่”

ชั้นบนของบ้านก็เลยกลายเป็นห้องเก็บของไปโดยปริยาย จนแขกไปใครมาต่างก็พากันออกปากชม ว่าบ้านนี้จัดของได้เข้าที่เข้าทางดีเสียจริง โล่งโปร่งไม่มีของรกรุงรังเกะกะลูกกะตา ซึ่งแม่บ้านอย่างเธอก็ทำได้แค่ยิ้มรับไปอย่างอดเสียไม่ได้

“มินิมอลไงแม่ สมัยนี้ใครเค้าก็นิยมกัน … แนวดีออก … มินิมอลลิสม์สไตล์” แฟรงค์บอก

พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ แม่ก็แอบมาตักข้าวในห้องครัวทานคนเดียวเงียบ ๆ… แล้วก็กลับเข้าห้องไปเงียบ ๆ เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา

แม่จะออกจากห้องมาอีกทีหนึ่งก็ตอนบ่ายคล้อยหลังจากนอนกลางวันจนเบื่อ เพื่อรับประทานอาหารบ่ายซึ่งเจ้าตัวผนวกเอาอาหารกลางวันและอาหารเย็นมารวมกันแล้วอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งจนแล้วจนรอด เธอก็ยังไม่ใจแข็งพอที่จะไม่ยกขนมและผลไม้ขึ้นไปให้แม่ทานรองท้องอีกรอบหนึ่งได้สักที … ในช่วงตอนเย็น ๆ

เย็นวันนี้ แฟรงค์ — ลูกชายคนเล็กทำให้เธอโกรธ สาเหตุก็เป็นเพราะว่าพ่อตัวดีไม่ยอมไปตัดผมตามที่ครูสั่ง จนโดนคุณครูฝ่ายปกครองเอากรรไกร ‘เล็ม’ ทรงใหม่เข้าให้เสียจนดูไม่ได้

“คุณครูบอกให้ไปตัดผมมาตั้งแต่เมื่อวาน ทำไมแฟรงค์ถึงไม่ยอมไปตัด”

“โธ่แม่ กระทรวงศึกษาธิการเค้าประกาศให้นักเรียนไว้ผมยาวได้แล้ว คุณครูที่สั่งให้ไปตัดผมน่ะ แกแก่แล้ว…เลยไม่ทันโลก”

“แฟรงค์!”

เธอขึ้นเสียงดัง เมื่อเห็นว่าลูกชายคนเล็กยังไม่รู้จักสำนึกผิด มิหนำซ้ำยังพูดจาในทำนองไม่เคารพครูบาอาจารย์ … ทั้ง ๆ ที่พี่ชายของตน — ลูกชายคนโตของเธอก็ประกอบสัมมาชีพเดียวกันนั้น

สายใยแห่งความผูกพันลึกซึ้งที่เรียกกันง่าย ๆ สั้น ๆ ว่า “รัก” บังคับให้คนที่เป็นแม่โกรธ (แทน) ลูกได้รุนแรงแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า…เธอเองก็ไม่แน่ใจ

แต่แล้วความโกรธดังกล่าวนั้นก็ปลาสนาการหายไปจากห้วงอารมณ์ในทันทีที่เธอได้ยินเหตุผลหลุดออกมาจากปากของลูกชาย

“คุณครูเค้าสั่งที่หน้าเสาธงเมื่อวานครับ ว่าจะตรวจทรงผมเช้าวันนี้ … เช้านี้ผมก็เลยอุตส่าห์ตื่นตั้งแต่เช้าไปที่ร้าน  แต่ร้านตัดผมดันมาปิดซะนี่ … จะไปเมื่อวานก็ไม่ได้ ก็เมื่อวานมันเป็นวันพุธนี่ครับ … ‘วันพุธห้ามตัด วันพฤหัสฯห้ามถอน’ ยายบอกว่ามันเป็นการเบียดเบียนอายุของพ่อแม่”

 

[๓]

เมื่อคืน ลูกสาวเข้ามา ‘เยี่ยมอาการ’ ของนางที่ห้อง…ดึกกว่าทุก ๆ คืน

มาก็ไม่ได้มาเปล่า เธอแอบเห็นในมือของลูกสาวมีแก้วใสทรงสูงซึ่งบรรจุนมสดไขมันต่ำสำหรับ ‘รักษา’ กระดูกของคนสูงอายุเข้ามาด้วย พร้อมกับผลไม้ที่มีปริมาณน้ำตาลต่ำมาก ๆ จนหารสหวานไม่ได้อีกหนึ่งจานเล็ก ๆ … ส่วนในดวงตาทั้งคู่ของลูกสาวของเธอนั้นเล่า ก็บรรจุมาเต็มเปี่ยมทั้งคำถาม ความน้อยใจ และคำขอร้อง

เมื่อตอนเย็นนางแอบได้ยินลูกสาวกับหลานชายคนเล็กคุยกันเกี่ยวกับเรื่องทรงผม การถูกทำโทษ และคติความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล … นางคิดว่ามันก็คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะจำได้ว่าแม่ของนางก็สอนนางมาแบบนั้นอีกทีหนึ่งเหมือนกัน

นางเดาว่าคำถามที่จะหลั่งไหลออกมาจากดวงตาผ่านริมฝีปากของลูกสาว ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งสามเรื่องนี้ แต่แล้วพอได้ยินลูกสาวเอ่ยปาก นางถึงได้รู้ว่านางคิดผิด

“เมื่อไหร่แม่จะยอมให้หนูพาแม่ไปหาหมอเสียที หนูเป็นห่วงแม่นะ ไม่ใช่ไม่ห่วง มีแม่อยู่กับคนอื่นเค้าก็แค่คนเดียวนี่แหละ หนูขอร้องล่ะแม่…ไปหาหมอกับหนูเถอะ หมอตรวจดูจะได้รู้ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ จะได้รีบรักษากันแต่เนิ่น ๆ ไม่ต้องมากระเสาะกระแสะกันอยู่แบบนี้…ปกติแล้ว หนูก็ไม่เคยขอร้องอะไรแม่เลยนะ”

“เจ้าฟลุ๊คมันงานยุ่งมากเหรอ มันมัวไปทำอะไรอยู่ ช่วงนี้ไม่ค่อยจะเห็นมันกลับบ้าน” นางพยายามเปลี่ยนเรื่องโดยการถามคำถามที่ตัวเองก็รู้คำตอบอยู่แล้วเต็มอก

เมื่อเห็นลูกสาวนิ่ง เงียบ ไม่ตอบ นางก็เลยจำเป็นต้องตอบคำถามของตนเสียเองอย่างอดเสียไม่ได้

คล้ายกับคนบ้าก็ไม่ปาน … นางคิดเองเออเอง

“อ้อ มันคงจะมีธุระน่ะนะ งานบางอย่างคนเราก็คงจะจำเป็นต้องใช้สมาธิเยอะ ๆ มาอยู่บ้านก็เห็นแต่เจ้าแฟรงค์มันชวนพี่ชายของมันออกไปเที่ยวห้าง ดูหนัง นั่งรถเล่นทุกที ไม่ยอมให้พี่มันได้พักได้ผ่อนบ้างเลย”

“ไม่รู้ล่ะแม่ พรุ่งนี้แม่ต้องไปโรงพยาบาลกับหนู”

ลูกสาวของนางเดินออกจากห้องไปทันที เมื่อได้ยินเสียงข้อความ ‘ไลน์’ ดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งทำให้นางแอบคิดไปคนเดียวไม่ได้ ว่าบางครั้งไอ้เจ้าเทคโนโลยีพวกนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นดาบสองคมโดยแท้

คมหนึ่งเอาไว้เชื่อมความสัมพันธ์ของคนที่อยู่ไกลกัน

ส่วนอีกคมหนึ่งก็เอาไว้บั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างคนที่อยู่ใกล้ชิด

‘แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้บ่าย ๆ ผมก็จะกลับบ้านแล้ว ผมลาโรงเรียนไว้ครึ่งวัน เรื่องอาการ ‘ดื้อยา’ ของยายน่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เดี๋ยววันพรุ่งนี้ยายต้องได้ไปหาหมอแน่ ๆ … แม่เชื่อผมซิ’

 แน่นอนว่าข้อความที่สื่อสารผ่านโปรแกรมแห่งยุคสมัยดังกล่าวนี้ นอกจากเจ้าฟลุ๊คซึ่งเป็นผู้ส่งมันมาแล้ว … ก็คงจะมีแต่ลูกสาวของนางเท่านั้นที่ได้อ่านมัน!

[๔]

วันนี้เป็นวันศุกร์ …

ความทุกข์เดินทางมาเยี่ยมเยือนหัวใจแห่งนางในตอนบ่ายแก่ ๆ เมื่อลูกสาวและลูกเขยเดินเข้ามาหานางในห้องโดยพร้อมเพรียงกัน … สีหน้าของทั้งสองคนดูเคร่งเครียด ไม่สู้จะดีเท่าไรนัก

“แม่ต้องไปกับหนูแล้วล่ะ ยังไงเสียเจ้าฟลุ๊คมันก็เป็นหลาน” ลูกสาวของนางพูดเสียงเครียด

“ฟลุ๊คถูกรถชนในตัวอำเภอนี่เองครับคุณแม่ ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับมาบ้าน คงกะจะมาพาคุณแม่ไปหาหมอนั่นแหละ … คุณหมอที่รับเรื่องเค้าเช็คประวัติแล้วเห็นว่าเป็นข้าราชการ มีข้อมูลครบถ้วนก็เลยโทร.มาบอกทางบ้าน … แจ้งญาติได้ ตอนนี้เจ้าแฟรงค์มันก็ขอลาโรงเรียน รีบไปเฝ้าดูอาการของพี่ชาย…รอพวกเราแล้วครับ” ลูกเขยอธิบายรวดเร็ว

เธอ พร้อมทั้งลูกสาวและลูกเขย มาถึงหน้าโรงพยาบาลภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ด้วยฝีมือการขับรถของสุภาพบุรุษเพียงคนเดียวในบ้าน

ยังไม่ทันที่ลูกเขยจะหาที่จอดรถ นางก็เห็นหลานชายคนเล็กในชุดนักเรียนที่ยับเยินยู่ยี่ ทรงผมตัดเกรียนหมดจดแบบที่นางเคยได้ยินคนรุ่นใหม่เขาเรียกกันว่า “ทรงสกินเฮด”…วิ่งตรงดิ่งเข้ามาแต่ไกล

“ให้พ่อหาที่จอดรถเถอะครับ ผมว่าคุณแม่กับคุณยายลงมาก่อน ลงตรงนี้เลยดีกว่า ชักช้าเดี๋ยวผมกลัวว่าจะไม่ทัน … พี่ฟลุ๊คดูอาการไม่ค่อยดีเลย”

เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี ที่นางคว้ามือลูกสาวหมับ กึ่งเดินกึ่งวิ่งโดยไม่ยี่หระอาการชำรุดของฟันเฟืองหัวเข่า จนกระทั่งไปถึงภายในตัวอาคารนั่นแหละ ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อย หอบ และไอออกมาจนตัวโยน

“โธ่แม่ ช้า ๆ ก็ได้ อาการกำเริบอีกแล้วเห็นไหม เดี๋ยวนั่งพักตรงนี้ก่อน แน่ะเจ้าฟลุ๊คเดินมาโน่นละ”

“คุณยายครับ ผมรอตั้งนาน นึกว่าคุณแม่จะพาคุณยายมาไม่ได้เสียแล้ว เพราะคิวที่ผมจองไว้ให้ใกล้จะถึงพอดีเลย … มาครับคุณยาย มากับผม เดี๋ยวผมจะพาคุณยายไปให้หมอตรวจ … จะได้หายเสียที”

นางหันไปหาลูกสาวแววตาเอาเรื่อง แต่ฝ่ายนั้นก็ตั้งรับเอาไว้แล้วเช่นกัน เพราะยังไม่ทันที่นางจะทันได้พูดอะไร ลูกสาวของนางก็ชิงพูดตัดบทเสียก่อน … ราวกับ ‘รู้บท’ มาแล้วเป็นอย่างดี

“เอาเถอะน่าแม่ ไหน ๆ ก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว เข้าไปให้หมอตรวจเสียหน่อยจะเป็นไรไป หลานอุตส่าห์ลางานออกมาจองคิวคุณหมอไว้ให้”

เย็นวันนั้นนางได้ยาชุดใหญ่ติดไม้ติดมือกลับบ้านไปอีกหลายชุด หมอบอกว่าเป็นยาแก้ดื้อ … เอาไว้รักษาอาการ ‘ดื้อยา’ ของนาง

นางจำได้ว่าพร้อมกับการกล่าวคำขอบคุณคุณหมอ นางยังได้สะบัด “ค้อน” อย่างสาวน้อยแถมให้คุณหมอหนุ่มไปหลายขวับ ดีนะ…ที่มารู้เอาตอนหลังว่าหมอหนุ่มคนนั้นก็หาใช่คนอื่นไกล หากแต่เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อหลานชายตัวดีของนางนี่เอง เพราะถ้าขืนรู้ตอนนั้น นางคงถลาเข้าไปหยิกแขนแถมเข้าให้อีกสักสองสามที โทษฐานที่รวมหัวกันกับลูก ๆ หลาน ๆ ของนาง … พากันหลอกตุ้มตุ๋นคนแก่

มองออกไปจากหน้าต่างห้องนอน เห็นลูกสาวกับหลานชายกำลังคุยอะไรกันบางอย่าง สีหน้ารื่นเริง

“ผมท่องได้แล้วนะครับ”

“อะไรเหรอ?”

“อ้าว บทขานนาคไง คุณยายยังไม่ได้บอกคุณแม่เหรอ ว่าที่ผมแอบปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวเนี่ย เพราะผมกำลังเตรียมตัวท่องบาลี กะจะบวชเป็นของขวัญวันเกิดให้แม่ปีนี้ไงครับ”

สายตาของสองแม่ลูกหันมาทางนางพอดี เหมือนกับจะรู้ว่ามีคนแอบฟังอยู่ นางสะบัดหน้า “ค้อน” ทั้ง ๆ ที่หัวใจเริ่มพองโต … เบิกบานด้วยความยินดี

‘โธ่เอ๊ย นังลูกดื้อ นี่ถ้าชั้นจำไม่ได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของแกล่ะก็ จ้างให้ … ฉันก็ไม่ยอมไปหรอก ไอ้โรง’บาลโรงหมอเนี่ย…มันเหม็นยาจะตาย’

นางคิดเองเออเอง … คล้ายกับคนบ้าก็ไม่ปาน

 

Exit mobile version