[๔]
วันนี้เป็นวันศุกร์ …
ความทุกข์เดินทางมาเยี่ยมเยือนหัวใจแห่งนางในตอนบ่ายแก่ ๆ เมื่อลูกสาวและลูกเขยเดินเข้ามาหานางในห้องโดยพร้อมเพรียงกัน … สีหน้าของทั้งสองคนดูเคร่งเครียด ไม่สู้จะดีเท่าไรนัก
“แม่ต้องไปกับหนูแล้วล่ะ ยังไงเสียเจ้าฟลุ๊คมันก็เป็นหลาน” ลูกสาวของนางพูดเสียงเครียด
“ฟลุ๊คถูกรถชนในตัวอำเภอนี่เองครับคุณแม่ ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับมาบ้าน คงกะจะมาพาคุณแม่ไปหาหมอนั่นแหละ … คุณหมอที่รับเรื่องเค้าเช็คประวัติแล้วเห็นว่าเป็นข้าราชการ มีข้อมูลครบถ้วนก็เลยโทร.มาบอกทางบ้าน … แจ้งญาติได้ ตอนนี้เจ้าแฟรงค์มันก็ขอลาโรงเรียน รีบไปเฝ้าดูอาการของพี่ชาย…รอพวกเราแล้วครับ” ลูกเขยอธิบายรวดเร็ว
เธอ พร้อมทั้งลูกสาวและลูกเขย มาถึงหน้าโรงพยาบาลภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ด้วยฝีมือการขับรถของสุภาพบุรุษเพียงคนเดียวในบ้าน
ยังไม่ทันที่ลูกเขยจะหาที่จอดรถ นางก็เห็นหลานชายคนเล็กในชุดนักเรียนที่ยับเยินยู่ยี่ ทรงผมตัดเกรียนหมดจดแบบที่นางเคยได้ยินคนรุ่นใหม่เขาเรียกกันว่า “ทรงสกินเฮด”…วิ่งตรงดิ่งเข้ามาแต่ไกล
“ให้พ่อหาที่จอดรถเถอะครับ ผมว่าคุณแม่กับคุณยายลงมาก่อน ลงตรงนี้เลยดีกว่า ชักช้าเดี๋ยวผมกลัวว่าจะไม่ทัน … พี่ฟลุ๊คดูอาการไม่ค่อยดีเลย”
เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี ที่นางคว้ามือลูกสาวหมับ กึ่งเดินกึ่งวิ่งโดยไม่ยี่หระอาการชำรุดของฟันเฟืองหัวเข่า จนกระทั่งไปถึงภายในตัวอาคารนั่นแหละ ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อย หอบ และไอออกมาจนตัวโยน
“โธ่แม่ ช้า ๆ ก็ได้ อาการกำเริบอีกแล้วเห็นไหม เดี๋ยวนั่งพักตรงนี้ก่อน แน่ะเจ้าฟลุ๊คเดินมาโน่นละ”
“คุณยายครับ ผมรอตั้งนาน นึกว่าคุณแม่จะพาคุณยายมาไม่ได้เสียแล้ว เพราะคิวที่ผมจองไว้ให้ใกล้จะถึงพอดีเลย … มาครับคุณยาย มากับผม เดี๋ยวผมจะพาคุณยายไปให้หมอตรวจ … จะได้หายเสียที”
นางหันไปหาลูกสาวแววตาเอาเรื่อง แต่ฝ่ายนั้นก็ตั้งรับเอาไว้แล้วเช่นกัน เพราะยังไม่ทันที่นางจะทันได้พูดอะไร ลูกสาวของนางก็ชิงพูดตัดบทเสียก่อน … ราวกับ ‘รู้บท’ มาแล้วเป็นอย่างดี
“เอาเถอะน่าแม่ ไหน ๆ ก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว เข้าไปให้หมอตรวจเสียหน่อยจะเป็นไรไป หลานอุตส่าห์ลางานออกมาจองคิวคุณหมอไว้ให้”
เย็นวันนั้นนางได้ยาชุดใหญ่ติดไม้ติดมือกลับบ้านไปอีกหลายชุด หมอบอกว่าเป็นยาแก้ดื้อ … เอาไว้รักษาอาการ ‘ดื้อยา’ ของนาง
นางจำได้ว่าพร้อมกับการกล่าวคำขอบคุณคุณหมอ นางยังได้สะบัด “ค้อน” อย่างสาวน้อยแถมให้คุณหมอหนุ่มไปหลายขวับ ดีนะ…ที่มารู้เอาตอนหลังว่าหมอหนุ่มคนนั้นก็หาใช่คนอื่นไกล หากแต่เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อหลานชายตัวดีของนางนี่เอง เพราะถ้าขืนรู้ตอนนั้น นางคงถลาเข้าไปหยิกแขนแถมเข้าให้อีกสักสองสามที โทษฐานที่รวมหัวกันกับลูก ๆ หลาน ๆ ของนาง … พากันหลอกตุ้มตุ๋นคนแก่
มองออกไปจากหน้าต่างห้องนอน เห็นลูกสาวกับหลานชายกำลังคุยอะไรกันบางอย่าง สีหน้ารื่นเริง
“ผมท่องได้แล้วนะครับ”
“อะไรเหรอ?”
“อ้าว บทขานนาคไง คุณยายยังไม่ได้บอกคุณแม่เหรอ ว่าที่ผมแอบปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวเนี่ย เพราะผมกำลังเตรียมตัวท่องบาลี กะจะบวชเป็นของขวัญวันเกิดให้แม่ปีนี้ไงครับ”
สายตาของสองแม่ลูกหันมาทางนางพอดี เหมือนกับจะรู้ว่ามีคนแอบฟังอยู่ นางสะบัดหน้า “ค้อน” ทั้ง ๆ ที่หัวใจเริ่มพองโต … เบิกบานด้วยความยินดี
‘โธ่เอ๊ย นังลูกดื้อ นี่ถ้าชั้นจำไม่ได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของแกล่ะก็ จ้างให้ … ฉันก็ไม่ยอมไปหรอก ไอ้โรง’บาลโรงหมอเนี่ย…มันเหม็นยาจะตาย’
นางคิดเองเออเอง … คล้ายกับคนบ้าก็ไม่ปาน