โดย : ก.ไกรศิรกานท์
ลิขสิทธิ์ : Magic Time Media
ผมรู้จัก “วิกสิตา” ตั้งแต่เธออายุได้สักสิบสามขวบกระมัง ตอนนั้นเธอยังเป็นเด็กหญิงผมสั้น กลิ่นบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่เพิ่งผ่านระบบการศึกษาของโรงเรียนในระดับประถมศึกษามาหมาด ๆ ยังหอมติดจมูกของผมไปอีกหลายวัน นับตั้งแต่วันที่ผมได้พบกับเธอครั้งแรกในวันรายงานตัวรับนักเรียนชั้น ม.1 ของปีการศึกษานั้น
ปีนั้นมีเด็กนักเรียนมาสมัครเข้าเรียนน้อยกว่าทุกปี ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนบอกว่าอาจจะเป็นเพราะเด็กนักเรียนในระดับประถมศึกษามีจำนวนลดลง ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าคู่แต่งงานนิยมคุมกำเนิดกันมากขึ้น ประกอบกับคนหนุ่มคนสาวในยุคปัจจุบันเริ่มแต่งงานกันช้าลง บางคู่ก็ไม่ยอมแต่งเลยก็มี เพราะการศึกษาที่สูงขึ้น ผู้หญิงพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น อีกทั้งหนุ่มสาวยุคใหม่หลายคนต่างก็ค้นพบทางเลือกแห่งการคัดสรรคู่ใจแบบใหม่…ที่นอกเหนือไปจากกฎเกณฑ์ทางสังคมอันสืบเนื่องมาแต่โบราณกาล
มันก็มีข้อดีเหมือนกันนะ เพราะวงการแต่งงานน่ะ จะว่าไปมันก็เข้าอีหรอบ ‘คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า’ เหมือนกับที่รุ่นใหญ่หลายคนชอบพูดให้ผมได้ยินเหมือนกันนั่นแหละ เพราะก็มีคู่สมรสอยู่หลายคู่เหมือนกันที่ทำให้เราค้นพบสัจธรรมที่ว่า — การแต่งงานนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือการเข้าไปอาศัยอยู่ในนรกที่ตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์สีชมพูดี ๆ นี่เอง
ผมไม่ได้ยินท่านผู้อำนวยการโรงเรียนพูดถึงการเปิดโรงเรียนขยายโอกาสและโรงเรียนเอกชนใกล้ ๆ โรงเรียนของเรา ทั้ง ๆ ที่ผมเห็นว่ามันน่าจะเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้จำนวนเด็กนักเรียน ม.1 ของโรงเรียนเราในปีนั้นลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด ที่เป็นเช่นนั้นก็คงจะเป็นเพราะว่าถ้าหากท่านผู้อำนวยการฯ พูดออกไปอย่างนั้น ก็คงจะมีคนโยนคำถามที่ตอบยาก…สวนกลับมาอีกว่า
‘แสดงว่าโรงเรียนของเราจัดการเรียนการสอนไม่มีคุณภาพน่ะซิ ผู้ปกครองถึงได้พาบุตรหลานไปเรียนที่อื่น’
ผมไม่ได้หนักใจกับปัญหาจำนวนนักเรียนที่ลดลงอย่างฮวบฮาบเหมือนกับท่านผู้อำนวยการฯ เพราะปริมาณนักเรียนไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับครูสายผู้สอนอย่างผม ต่อให้มีนักเรียนเหลืออยู่แค่สิบคน ผมก็ยังได้เงินเดือนเท่าเดิมอยู่ดี
เรื่องการยุบโรงเรียนน่ะเหรอ… อาชีพอย่างผมไม่ตกงานหรอกครับ ระบบราชการมี ‘ตำแหน่งว่าง’ ให้คนอย่างผมเสมอ เชื่อซิ!
ปีการศึกษานั้นเป็นปีที่ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยเป็นพิเศษ ผมรู้สึกว่าอายุของตัวเองลดน้อยถอยลงไปอีกราวสิบกว่าปีเห็นจะได้ เมื่อผมเห็นเด็กนักเรียนหน้าใหม่ ๆ วิ่งเล่นไล่กันกลางโรงยิมในชั่วโมงพลศึกษา
เปล่านะครับ ผมไม่ใช่ครูสอนวิชาพลศึกษา เดี๋ยวจะหาว่าผมเป็น “ครูหื่น” หรือพวกสมภารกินไก่วัดอย่างที่พวกนักหนังสือพิมพ์เขาชอบพาดหัวข่าว
ผมเป็นครูสอนวิชาดนตรีครับ แต่งงานแล้วเมื่อสองปีก่อนตอนที่ผมอายุได้ยี่สิบเจ็ดปีแปดเดือน จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมาสามปีกว่าแล้ว แต่แฟนของผมก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมอบตาหนู หรือ ยัยหนู ให้ผมได้ชื่นใจสักที ทั้ง ๆ ที่ผมกับเธอก็โหมทำไอ้กิจกรรมอย่างว่ากันเป็นประจำทุกวันไม่ได้ขาด จนผมเกือบจะถอดใจไปแล้วว่าไม่ผมก็เธอ … ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องเป็นหมันแน่ ๆ
แต่แล้วพระเจ้าก็เห็นใจในความเพียรพยายามของผม..
เธอบอกข่าวดีนั้นแก่ผมในตอนพลบค่ำของวันศุกร์สุดท้ายเมื่อปลายปี ผมจำได้ว่าผมดีใจมาก เราสองคนพากันไป ‘ฉลองความสำเร็จ’ ที่ร้านอาหารในตัวเมือง ซึ่งผมได้นับรวมมันเป็นงานเลี้ยงส่งด้วย เมื่อแฟนของผมได้รับหนังสือราชการเรียกตัวจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ ให้ไปรายงานตัวบรรจุเป็นข้าราชการครูที่จังหวัดชื่อดังแห่งหนึ่งแถว ๆ ภาคอีสาน หลังจากที่เธอได้ไปสอบทิ้งเอาไว้นานเกือบสองปี
เธอบอกผมว่าเธอจะสละสิทธิ์การบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการในครั้งนี้ เพราะเธอไม่อยากจะจากผมไปไหนไกล แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมให้เหตุผลกับเธอไปว่าเพื่ออนาคตของลูก ซึ่งก็ได้ผล…เธอยอมจำนนกับเหตุผลนั้นของผม
.
.
.
การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นความทรมานที่แสนขมขื่น ผมคิดว่าใครก็ตามที่เคยประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าวนี้คงจะเข้าใจได้ดี
ในช่วงแรก ๆ ที่เราต้อง ‘แยกกันอยู่’ ผมเดินทางไปหาเธอทุกสัปดาห์ ทว่ามันก็ค่อย ๆ ลดความถี่ลงเมื่อผ่านระยะเวลาแห่งความเคยชินไปได้สักพักหนึ่ง
จากการเทียวไปหาทุกสัปดาห์ ก็ค่อย ๆ ขยับกลายเป็นสองสัปดาห์ สามสัปดาห์ จนกลายเป็นเดือนหนึ่งไปเสียครั้งหนึ่งในที่สุด ยิ่งระยะหลัง ๆ มานี้ ผมถึงขั้นกากบาทสีแดงติดปฏิทินเอาไว้เลยว่า สองเดือนไปสักครั้งหนึ่งก็พอ
เหตุผลน่ะหรือครับ ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณน่าจะเข้าใจ…
ผมก็เพิ่งจะอายุสามสิบต้น ๆ ฮอร์โมนเพศก็ยังวิ่งพลุกพล่านไม่ต่างอะไรกับกระทิงเปลี่ยว ระยะหลังมานี้ท้องของเธอโตขึ้นมาก ผมคงทนไม่ได้ หากผมไปหาเธอแล้วผมไม่ได้…ทำกิจกรรมอะไรพรรค์นั้นกับเธอ
ผมไม่ชอบใช้บริการจาก ‘ผู้หญิงอย่างว่า’ พวกเธอเหล่านั้นไม่สะอาดพอสำหรับผม และผมก็ไม่เคยว่ามันจะเป็นความผิดของผม … ที่ผมเป็นคนไม่ชอบสวมถุงยางอนามัยในเวลาที่ต้องทำไอ้กิจกรรมพรรค์อย่างว่านั้น
ผมคิดว่ามันเกะกะ…เป็นส่วนเกินของร่างกายยังไงชอบกล!
ธรรมชาติแห่งกลไกทางสรีระวิทยาของมนุษย์มันก็งดงามดีอยู่แล้ว …
รสนิยมบนเหตุผลส่วนตัวนี้ อาจทำให้เธอและลูกเป็นอันตราย เพราะถ้าผมเดินทางไปพบเธอ และอยู่ด้วยกันสองต่อสอง … ผมคงบังคับควบคุมตัวเองไม่ได้ในเวลานั้น!
คุณหมอหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม บอกผมยิ้ม ๆ แบบรู้ทันว่าให้ผมงดกิจกรรมพรรค์นั้นระหว่างผัวเมียไปก่อน จนกว่าแฟนของผมจะคลอด ซึ่งคนอย่างผมคงอดใจไม่ไหวหรอก ผมรู้ตัวดี … ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยพยายามห่าง ๆ เธอไปบ้างในพักหลังมานี้
ตอนแรก ๆ เธอก็ระแวงผมโดยการตัดพ้อด้วยความน้อยใจ ส่งผ่านมาตามสายโทรศัพท์ว่าผมคงจะพบผู้หญิงคนใหม่ที่ดีกว่าเธอ
ผมตัดสินใจบอกเหตุผลที่แท้จริงให้เธอทราบอย่างไม่อาย ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงหัวเราะแบบเขิน ๆ ของเธอแว่วมาตามสาย ซึ่งผมเดาว่าเธอคงจะยิ้มออกมาได้แล้วในขณะนั้น
เราจบการสนทนาด้วย ‘การร่วมรัก’ กันผ่านทางสัญญาณโทรศัพท์
มันเป็นช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ ระหว่างสัญชาตญาณและศีลธรรม ผมยังคงโทรคุยกับเธอทุกคืน และก็เหมือนเดิมทุกครั้ง การสนทนาต้องจบลงด้วยความสุขสมซาบซ่านในปีติสังวาสของผมเสมอ
เหตุการณ์ดำเนินไปจนกระทั่งสองเดือนสุดท้ายก่อนครบกำหนดคลอด เราสองคน — ผมกับเธอตัดสินใจฝากครรภ์ไว้กับสถานพยาบาลแห่งหนึ่ง และเพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และเด็ก ผมจึงบอกให้เธอจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
เธอบอกว่าผมเห่อเกินไป ก่อนจะพูดกระเซ้าเย้าแหย่ผมในทำนองว่า — อย่างนี้พอตกเวลากลางคืนผมจะไม่ ‘เหงา’ แย่เหรอ เพราะถ้ามีพยาบาลพิเศษมาคุมแจอย่างนั้น เธอคงจะส่งเสียง ‘ช่วย’ อะไร ๆ ผมไม่ได้
ผมกลั้นใจตอบเธอไปว่า “ไม่เป็นไร” ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าเป้ากางเกงของตัวเองเริ่มตุงคับและแอบมียางเยิ้มเหนียว ๆ ซึมออกมาในส่วนซุกซ่อนอันเร้นลับ
.
.
.
ผมหาทางออกด้วยการหันไปทุ่มเทให้กับการออกแบบจัดกิจกรรมเรียนการสอน ความบริสุทธิ์สดใสของเด็ก ๆ ทำให้ผมลืมอารมณ์ดิบเหล่านั้นไปได้มาก
เขาว่ากันว่าเวลามักจะติดปีกโบยบินไปอย่างรวดเร็วเสมอ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ใส่ใจมัน ซึ่งสำหรับผมในตอนนั้น … ผมคิดว่ามันคงจะติดปีกแล้วหายตัวไปต่อหน้าต่อตากันเลยทีเดียว เพราะแค่เผลอแป๊บเดียว ปีนี้ “วิกสิตา” ก็อายุได้สิบหกกว่าย่างสิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว
เธอกำลังสดสะพรั่งด้วยเลือดกำดัดของสาว ม.ปลายแรกแย้ม ผมสั้นของเธอแปรเปลี่ยนกลายเป็นผมยาวสลวยทว่าดำขลับชวนมอง
เด็กคนนี้สวยแปลกกว่าเด็กทั่วไป…อย่างน้อยก็ในสายตาผม
ประสบการณ์ในวิชาชีพครูทำให้ผมมองเห็นความยุติธรรมอย่างหนึ่งในโลก นั่นก็คือไม่มีใครที่จะเกิดมาดีพร้อม เด็กนักเรียนที่หน้าตาดีส่วนมากเกือบร้อยทั้งร้อยมักไม่ใช่เด็กหัวดี ส่วนเด็กที่เรียนเก่งก็มักจะไม่ถนัดกิจกรรม ในขณะที่เด็กซึ่งเป็นนักกีฬาของโรงเรียนก็มักจะต้องกลับมาขอสอบซ่อมในรายวิชาพื้นฐานอยู่เสมอ
แต่วิกสิตาถือเป็นข้อยกเว้นในสิ่งที่ผมกล่าวมา….
เธอดีพร้อมไปหมดในสายตาของผม วิกสิตาเรียนเก่ง กิริยามรรยาทเรียบร้อย เล่นกีฬาก็ได้ ทำกิจกรรมก็เห็นผลดี เรียกได้ว่าเธอถนัดทั้ง‘บู๊’และ‘บุ๋น’เลยทีเดียว และที่สำคัญที่สุด…ตั้งแต่ที่เธอย่างก้าวเข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ผมยังไม่เคยเห็นเธอทำอะไรผิดเลยสักครั้ง
วิกสิตาไม่เคยสอบตก ไม่เคยมาโรงเรียนสาย ไม่เคยแต่งตัวผิดระเบียบของทางโรงเรียน ไม่เคยมีปัญหาทะเลาะวิวาท หรือมีกรณีชู้สาวกับนักเรียนชาย (หรือกับนักเรียนหญิง) เลยแม้แต่สักครั้งเดียว
ผมเอ็นดูวิกสิตาเพราะว่าเธอร้องเพลงเก่ง และไม่ใช่เฉพาะการขับร้องเท่านั้นที่เธอทำได้ดี การเล่นเครื่องดนตรีทั้งดีด สี ตี เป่า หรือแม้กระทั่งระบำรำฟ้อนเธอก็ทำได้ดีไม่มีที่ติ เรียกได้ว่าเด็กคนนี้เกิดมาเพื่อ ‘อุปถัมภ์’ หน้าที่การงานของผมโดยแท้ เพราะนับตั้งแต่ที่วิกสิตาเข้ามาเรียนต่อที่โรงเรียนนี้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ของผมก็มีผลงานเชิงประจักษ์ออกมาข่มผลงานเชิงประจบของกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
ผมให้วิกสิตามาซ้อมร้องเพลงกับผมทุกเย็นหลังเลิกเรียน..ที่ห้องดนตรี ซึ่งในระยะแรก ๆ ก็มักจะมีเพื่อน ๆ ของเธอมานั่งคอยให้กำลังใจอยู่สามสี่คน แต่แล้วพอนานวันไปก็หายหน้าหายตากันไปหมด
ผมพาวิกสิตาออกตระเวนประกวดร้องเพลงตามการแข่งขันต่าง ๆ ทั้งที่เป็นโครงการกิจกรรมของทางภาครัฐและเอกชน ทั้งงานในระดับเขตพื้นที่การศึกษา ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ จนผมได้เพิ่มเปอร์เซ็นเงินเดือนขั้นพิเศษเป็นประจำทุกปี
ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนเปิดไฟเขียวดวงโตให้ผม ด้วยการอนุมัติงบประมาณที่ผมเขียนขอเสนอขึ้นไปอย่างไม่อั้น จนครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ พากันแอบอิจฉา
ท่านผู้อำนวยการฯ แอบกระซิบเหตุผลให้ผมฟังว่า ‘งาน’ ของผมเป็นชิ้นงานที่มองเห็นเป็นรูปธรรม สัมผัสจับต้องได้ และนำชื่อเสียงมาสู่โรงเรียนมากกว่าผลงานของกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น อย่างเช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การงานอาชีพและเทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งพลศึกษา ซึ่งเด็กนักเรียนของเราไม่เคยไปแข่งขันกับเด็กต่างโรงเรียนได้
ปีที่แล้ววิกสิตาได้รับโล่รางวัลนักเรียนดีเด่นของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จากการคัดเลือกนักเรียนในระดับหัวกะทิที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าแข่งขันเกือบห้าร้อยคน
วิกสิตาบอกกับผมว่าสาเหตุที่เธอได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นเพราะความสามารถทางดนตรีและนาฏศิลป์ซึ่งคู่แข่งเกือบทั้งห้าร้อยคนนั้นไม่มี
รางวัลนั้นทำให้ผมกับวิกสิตาสนิทสนมกันอีกเป็นเท่าตัว
วิกสิตายังคงมาฝึกซ้อมการขับร้องและเล่นดนตรีกับผมเสมอ เป็นประจำทุกเย็นหลังเลิกเรียน บางวันเธอก็อยู่กับผมจนมืดค่ำ โดยผมเองก็มักจะชวนเธอไปทานอาหารเย็นด้วยกันเสมอ ก่อนที่จะขับรถพาเธอไปส่งถึงที่บ้าน ซึ่งผู้ปกครองทางบ้านของเธอก็ให้การต้อนรับขับสู้ผมเป็นอย่างดี ในฐานะที่ผมเป็นครูผู้ฝึกซ้อมบุตรหลานของพวกเขา จนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง
ปัญหาชู้สาวระหว่างครูกับลูกศิษย์ไม่มีเข้ามากระทบหูให้ผมรำคาญใจ เพราะความสัมพันธ์ของผมกับวิกสิตาอยู่ในสายตาของทั้งครู นักการภารโรง และนักเรียนทั้งโรงเรียน
เราสองคนไม่เคยพากันออกไปไหนมาไหนเพียงลำพังสองต่อสอง…ให้ใครพบเห็น ยกเว้นการเดินทางไปประกวดแข่งขันตามที่ต่าง ๆ ซึ่งก็ไปตามคำสั่งราชการทั้งสิ้น ยิ่งพักหลัง ๆ มานี้ เมื่อแฟนของผมคลอดลูกแล้ว ผมก็ต้องเดินทางไป ‘เที่ยว’ หาเธอทุกปลายเดือน คำว่า ‘มีลูกมีเมีย’ แล้ว ก็ยิ่งช่วยเป็นเกาะป้องกันคำครหา ให้ข้าราชการครูมือรางวัลอย่างผมได้เป็นอย่างดี
เมื่อเดือนที่แล้ว ท่านผู้อำนวยการฯ ‘ยุ’ ให้ผมส่งผลงานเข้าประกวดโครงการครูดีเด่น ซึ่งผลก็เป็นไปดังคาด ผมคว้ารางวัลนั้นมาชื่นชมได้อย่างง่ายดาย เพราะผลงานของวิกสิตา … ลูกศิษย์คนโปรดของผมนั่นเอง
“แหม… ตั้งแต่แฟนครูคลอดเนี่ย ครูไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกศิษย์คนนี้เลยนะคะ”
วิกสิตาพูดกับผมในเชิงตัดพ้อ ผมอดลูบศีรษะเธอเบา ๆ ไม่ได้ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะชวนเธอออกไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
“แหม…” ผมเลียนประโยคเธอ “ครูก็ไปหาแฟนกะลูกของครูเฉพาะปลายเดือนเท่านั้นแหละ วันอื่น ๆ ครูก็อยู่ซ้อมให้เธอตลอด”
เธอยิ้มน้อย ๆ แล้วถามทีเล่นทีจริงว่า “แฟนครูจะขอย้ายมาอยู่กับครูมั้ยคะ หรือว่าครูจะเป็นฝ่ายย้ายไป…” เธอทำหน้าสลด “หนูไม่อยากให้ครูย้ายไปเลย ถ้าให้หนูมีสิทธิ์เลือกได้ หนูอยากให้แฟนครูย้ายมาดีกว่า”
“ทำไมล่ะ”
“อย่างน้อยครูก็จะได้อยู่ฝึกซ้อมให้หนูต่อไปไงคะ… แม้ว่าครูอาจจะไม่มีเวลาให้หนู แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างเดิมก็เถอะ”
เราได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กัน ต่างฝ่ายต่างไม่มีคำพูดใด ๆ ต่อจากนั้น
พักหลัง ๆ มานี้วิกสิตาเหมือนกับจะมีความลับอะไรบางอย่างปิดบังผมอยู่ เพราะผมแอบสังเกตเห็นได้ว่าเธอมักจะพยายามหลบสายตาของผมทุกครั้ง…เมื่อต้องตอบคำถามบางคำถามของผม
เธอไม่ค่อยยิ้มแย้ม … ไม่ค่อยร่าเริงเหมือนเคยในขณะที่มาฝึกซ้อมร้องเพลงตอนหลังเลิกเรียน
“สิตา เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ? มีอะไรจะบอกครูหรือเปล่า?” ผมเรียกเธอด้วยชื่อเล่น ซึ่งผมไม่ค่อยจะใช้เรียกนักเรียนคนไหน ยกเว้นว่าผมจะสนิทกับนักเรียนคนนั้นจริง ๆ
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร หนูคงจะเรียนหนักไปหน่อย ก็เลยเครียด ๆ ”
ผมไม่ค่อยเชื่อคำว่า ‘เปล่า-ไม่มีอะไร’ ของผู้หญิงสักเท่าใดนัก เพราะผมคิดว่าในประโยค ‘เปล่า-ไม่มีอะไร’ ของพวกเธอไม่เคยว่างเปล่า และมักจะ ‘มีอะไร ๆ ’ ซ่อนอยู่ในนั้นเสมอ ซึ่งผมก็สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นความจริง เมื่อผมแอบสืบรู้มาว่าวิกสิตาแอบไปสนิทสนมคบหากับนักเรียนรุ่นน้อง ม.3 อยู่คนหนึ่ง
ผมไม่พอใจมาก วิกสิตาไม่ควรจะประพฤติตัวแบบนั้น เธอเป็นนักเรียนดีเด่น ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบแห่งระเบียบวินัยมาโดยตลอด … และที่สำคัญที่สุด ใคร ๆ ในโรงเรียนนี้ต่างก็รู้กันดีว่าวิกสิตาเป็นนักเรียนใน ‘สังกัด’ ที่ผมคอยดูแลอยู่
.
.
.
“คิดดีแล้วเหรอ?”
ผมตัดสินใจถามเธอในเย็นวันหนึ่ง ซึ่งคนเป็นครูก็ไม่มีกะจิตกะใจจะสอน คนเป็นนักเรียนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะซ้อม
“ทำไมคะ? ใคร ๆ เค้าก็มีกัน” เป็นครั้งแรกที่วิกสิตากล้าย้อนถามผมด้วยน้ำเสียงท้าทายแบบนี้
“ครูแค่อยากรู้ ว่าเพราะอะไร?” ผมใช้ขันติอย่างยิ่งยวด กลั้นใจถามเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
วิกสิตาเงียบ นิ่ง และเนิ่นนาน ก่อนจะตอบผมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจือความหวาดกลัวอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถคาดคะเนได้ด้วยทฤษฎีใด ๆ
“หนูแค่เหงา…”
“เหงา? … เธอมาซ้อมร้องเพลงกับครูทุกวัน เธอยังจะเหงาอีกเหรอ?”
วิกสิตาเริ่มจะร้องไห้ ส่วนผมก็เริ่มที่จะใจอ่อน…
“เปล่า… ครูไม่ได้ว่าอะไร แค่ครูอยากให้เธอคิดให้ดี เพราะครูเอ็นดูเธอมาก เธอก็น่าจะรู้ ครูไม่อยากให้เธอพลาด” ผมใช้มือปาดน้ำตาให้เธอ
“ผู้ชายน่ะ มันก็เหมือนกันทั้งโลก ครูเป็นผู้ชาย ครูรู้ดี เธอจะทันเค้าเหรอ?…เธอไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสีย เป็นเด็กดีในสายตาของคณะครู และพี่ ๆ น้อง ๆ ในโรงเรียนมาโดยตลอด ครูแค่อยากให้เธอคิดอะไรให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจ เพราะอายุขนาดเธอ มันก็ยังไม่สมควรที่จะมีคนรัก”
“ครูไม่เข้าใจหรอก…”
“ครูก็กำลังจะพยายามเข้าใจเธออยู่นี่ไง เธอมีปัญหาอะไรก็บอกครูซิ”
วิกสิตาส่ายหน้า น้ำตาพร่างพราย…ก่อนที่จะพรั่งพรู
“ไปบอกเลิกกับแฟนของเธอซะ คิดเหรอว่าเด็กผู้ชายอายุเท่านั้น วุฒิภาวะเท่านั้น มันจะเก็บรักษาเธอเอาไว้เพื่อเป็นแม่ของลูก” ผมตัดสินใจพูดแรงๆ “มันชื่ออะไรนะ?”
เธอไม่ตอบ
“มันชื่อ ราวิน ใช่มั้ย?”
ผมถามออกไปอย่างนั้นเองเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของเธอ
ผมไม่ได้แปลกใจนักว่าทำไมวิกสิตาถึงได้ ‘เลือก’ เด็กผู้ชายคนนั้นเป็นแฟน ไอ้หมอนั่นหน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว
หนุ่มน้อยหน้ามน ผิวคมเข้มแบบชายไทยแท้ คิ้วเป็นปึกเข้มหนา สายตาซุกซน ริมฝีปากบางเหมือนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ ออกมาทุกครั้งที่เขาสนทนากับผู้คนรอบข้าง แถมอายุอานามก็เพิ่งจะวิ่งผ่านคำว่า “นาย” มาหมาด ๆ ใหม่ ๆ มีไรหนวดอ่อน ๆ อยู่เหนือริมฝีปาก … ประกาศ ‘สัญญาณ’ และ ‘ลักษณ์’ แห่งวัยเจริญพันธุ์อย่างเต็มเปี่ยม สาววัยกำดัดคนไหนล่ะจะไม่นิยมชมชอบ
ผมไม่ได้สนใจเด็กคนนี้มาก่อน ลักษณะ ‘ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ’ ทำให้ราวินง่ายต่อการถูกลืมในระบบสมองของครู…ซึ่งมักจะจำได้เฉพาะเด็กที่เก่งสุด ๆ โง่สุด ๆ ดีสุด ๆ และเลวสุด ๆ เสียเป็นส่วนใหญ่
ราวิน ไม่ได้มีรายชื่อติดอันดับนักเรียนเรียนดีของกลุ่มสาระการเรียนรู้ใด และในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้มีรายชื่อพ่วงติดใน ‘บัญชีดำ’ ของทางโรงเรียนเช่นกัน
ผู้ที่เดิน ‘ทางสายกลาง’ หากยกเว้นพระพุทธเจ้าไว้เสียพระองค์หนึ่ง…ก็ยากนักที่โลกจะจดจำ!
.
.
.
แล้ววันที่คนทั้งโรงเรียนจะจดจำชื่อของ ราวิน ก็เดินทางมาถึง
.
.
.
เวลานั้นเดินทางมาถึงในตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันศุกร์สุดท้ายในเดือนที่อากาศขมุกขมัว
มีเสียงจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงเรียน เรียกให้นายราวิน นักเรียนชั้น ม. 3/2 เข้าพบท่าน
ผู้อำนวยการโรงเรียนและคณะครูฝ่ายบอร์ดบริหารโดยด่วน ซึ่งผมก็ได้รับเชิญเข้าร่วม ‘การประชุมย่อย’ ในครั้งนั้นด้วยในฐานะครูฝ่ายกิจกรรมนักเรียน
“แปดเม็ด…ถือว่ามากนะครับ สำหรับเด็กอายุเท่านี้” ท่านผู้อำนวยการฯ เป็นคนเปิดประเด็นในการประชุมย่อยครั้งนั้น
“ดูจากปริมาณแล้ว มันน่าจะเข้าข่ายผู้ขายมากกว่าผู้เสพนะครับ” ครูอีกท่านหนึ่งเสริม
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ผมเห็นราวินนั่งนิ่ง-เงียบ ไม่มีใครเห็นเขาคลี่ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากอย่างเคย
จะด้วยจรรยาบรรณครู หิริโอตตัปปะ หรือสามัญสำนึก ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่สิ่งนั้นก็เป็นเหตุให้ผมทนนั่งนิ่งต่อไปอีกไม่ไหว
“เราจะไล่เด็กคนนี้ออกไม่ได้นะครับ เด็กกำลังจะจบ ม.3 ซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับ เราควรจะหาหนทางช่วยเด็กของเรา เพราะตอนนี้ก็ใกล้จะสอบแล้ว อีกไม่ถึงสองเดือน เด็กก็จะเรียนจบแล้ว” ผมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อกลั้นใจพูดออกไปจนจบประโยค
“แล้วครูจะให้ทางโรงเรียนทำยังไงล่ะ?” ท่านผู้อำนวยการฯ หันมาถามผม
“เราน่าจะประสานไปยังโรงเรียนประชาพิทักษ์” ผมหมายถึงอีกโรงเรียนหนึ่งซึ่งถือว่าเป็น‘โรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง’ กับโรงเรียนของเรา “แล้ว ‘ฝาก’ เด็กของเราไว้กับเค้า เพราะเวลาที่โรงเรียนประชาพิทักษ์เอาเด็กของเค้ามา ‘ฝาก’ ให้เราดูแล เราก็ยังรับไว้”
ครูทุกคนเห็นด้วยกับข้อเสนอของผม และมองครูดีเด่นอย่างผมด้วยแววตาชื่นชม จะมีก็แต่นายราวินเท่านั้น ที่มองผมด้วยสายตาซึ่งครูมือรางวัลระดับประเทศอย่างผมอ่านไม่ออก!
.
.
.
“ครูใช่มั้ยคะ ที่เป็นคนทำ?” วิกสิตากึ่งถามกึ่งตะโกนใส่หน้าผมในเย็นวันเดียวกันนั้น
“ทำอะไร?”
“ก็เรื่องที่ — “
“เธอกำลังกล่าวหาครู”
“ไม่จริง! หนูไม่เชื่อว่า — “
“แต่เรามีหลักฐาน แฟนของเธอเค้าเป็นคนค้าจริง ๆ ”
“หลักฐานมันสร้างกันได้ค่ะ”
“เธอห่วงมันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แต่ครูทำเกินไป”
“ครูไม่ได้ทำ” ผมยังควบคุมน้ำเสียงได้อย่างราบเรียบ…เป็นปกติ จนผมยังอดนึกชมตัวเองไม่ได้
“ครูรู้มั้ยค่ะ ว่าหนูตัดสินใจเป็นแฟนกับเค้าเพราะอะไร?” วิกสิตายิ้มเย็นอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน “หนูไม่อยากให้ครูดีเด่นอย่างครู…มีความผิดครั้งแรก”
ผมทำหน้าไม่เข้าใจ เธอหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ทั้งที่น้ำตายังไหลอาบสองแก้ม
“หนูท้อง!”
ประโยคนั้นของวิกสิตา ทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนเอาน้ำร้อนสาดโครมลงมาบนร่างกายของผม … ก่อนจะโถมสาดตามมาด้วยน้ำเย็นที่อุณหภูมิติดลบ
“หนูตัดสินใจเป็นแฟนกับเค้า เพราะหนูต้องการให้เรื่องนี้เป็นความผิดครั้งแรกของหนู….เพียงคนเดียว”
ผมทำได้เพียงยืนตะลึงคล้ายต้องมนต์สะกด ไม่มีแรงแม้แต่จะคว้าร่างที่กำลังเอามือป้ายน้ำตาอยู่ตรงเบื้องหน้า … และกำลังจะวิ่งหนีผมไป โดยไม่ลืมที่จะทิ้งประโยคซึ่งเป็นเสมือนคมดาบประหารผมเสียบัดเดี๋ยวนั้นว่า
“วันนั้นหนูลืมกินยาค่ะ”
วิกสิตาวิ่งออกจากห้องดนตรีไปนานแล้ว แต่ผมยังขยับแขนขาไม่ได้เลย เสมือนว่าผมไม่ใช่เจ้านายที่จะบังคับพวกมันได้อีกต่อไปอย่างไรอย่างนั้น
เสียงมโหรีเศร้า ๆ คล้ายกับจะแว่วดังออกมาจากมุมใดมุมหนึ่งของห้องซ้อมดนตรีที่เงียบเหงา
เป็นครั้งแรก ที่ทำให้ผมต้องยอมรับว่า — รสนิยมส่วนตัวที่ไม่ชอบสวมถุงยางอนามัยในขณะที่ทำกิจกรรมพรรค์อย่างว่านั้น … เป็นความผิดของผม
เพราะวันนั้น ผมก็ได้กระแทกกระทั้นเธอด้วยอารมณ์หื่นกระหาย … และปลดปล่อยออกไปเต็มสองขั้นเลยทีเดียว!