Site icon เมจิคไทม์ มีเดีย | อ่านนิยายสั้นออนไลน์ฟรี

คนข้างห้อง : พลัชพา

โดย : พลัชพา
ลิขสิทธิ์ : Magic Time Media

“ขอบใจมากนะนุช” ‘พิ้งค์’ เอ่ยขอบคุณเพื่อนสนิทที่วันนี้มาช่วยขนของออกจากหอในของมหาวิทยาลัยมายังหอพักด้านนอกบริเวณหลังมหาวิทยาลัย ความจริงแล้วนุชเองก็เป็นรูมเมทของพิ้งค์เมื่อตอนที่อยู่หอใน แต่เมื่อชีวิตปีหนึ่งจบลงและจวนจะขึ้นปีสอง พิ้งค์และนุชก็ตัดสินใจว่าจะออกจากหอในมาเช่าหอนอกอยู่เนื่องจากความสะดวกสบายที่มีมากกว่า ทั้งยังไม่ต้องคอยพะวงหากจะกลับห้องดึกๆ ดื่นๆ บ้างในบางครา

“ไม่เป็นไร” นุชตอบพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆห้องอย่างสำรวจก่อนจะเอ่ยถาม “ห้องก็กว้าง สภาพก็ค่อนข้างใหม่อยู่นะ ทำไมค่าเช่าถึงได้ถูกนัก”

“อาจจะเพราะหอนี้อยู่ในที่เปลี่ยวละมั้ง” พิ้งค์ตอบ

“พวกรุ่นพี่ก็ไม่เห็นแนะนำหอนี้บ้างเลย ดูแล้วคนก็เงียบๆนะเหมือนมีคนเช่าแค่ไม่กี่ห้อง”

“ก็ดีนี่ เป็นส่วนตัวดี”

“ไม่คิดว่าเพราะหอนี้อาจจะมีผีบ้างหรอ” นุชกล่าว “ค่าเช่าถึงได้ถูกขนาดนี้”

“ไม่มีหรอกน่า” พิ้งค์ตอบ “แต่ถึงมีฉันก็ไม่สนหรอก”

เดิมทีพิ้งค์นั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีเท่าไหร่นักแต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยลบหลู่ ถ้าหอนี้จะมีผีจริงๆอย่างที่นุชว่า…เธอก็ไม่สนใจหรอก ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่สู้ดีนัก ทางบ้านของพิ้งค์จึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก ถ้าไม่ติดว่าต้องไปทำงานพิเศษจนอาจจะต้องกลับดึกดื่น เธอก็คงจะอยู่หอในต่อ

“งั้นฉันไปก่อนนะ จะกลับไปจัดของที่หอเหมือนกัน”

“อืม โอเค” พิ้งค์ตอบ นุชโบกมือลาก่อนจะออกจากห้องไป พิ้งค์จึงหันมาสนใจข้าวของของตนที่วางกองกันอยู่ก่อนจะค่อยๆจัดของให้เข้าที่

ถ้าถามว่าเพราะเหตุได้เขาจึงไม่อยู่หอกับเพื่อนจะได้หารค่าเช่ากัน ก็ต้องตอบว่าเพราะหอพักแถวนี้ราคาห้าพันขึ้นทั้งนั้น หอที่เพื่อนๆของเธอพักก็ราคาห้าพันถึงหกพันซ้ำยังต้องจ่ายค่าเช่าทั้งหมดทีเดียวตอนแรกเข้า แบ่งจ่ายได้เป็นสองหรือสามเดือนแต่ก็ต้องมีเงินก้อนอยู่ดี ค่าไฟค่าน้ำหรือก็แสนแพง แต่หอที่เธอมาอยู่นี้แม้จะเปลี่ยวไปหน่อยและไม่มียาม แต่ว่าค่าเช่าต่อเดือนนั้นเพียงแค่สามพันบาทเท่านั้น ค่าน้ำค่าไฟก็ราคาตามความเป็นจริง จึงทำให้เขาตัดสินใจเลือก ‘จันทร์หอม อพาร์ทเม้นท์’ เป็นหอใหม่ของเขาอย่างไม่ต้องคิดมากนัก

พิ้งค์เดินเอาโคมไฟไปวางไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือก่อนจะเอาของใช้ส่วนตัวไปวางไว้ที่โต๊ะหน้ากระจก เธอจัดของไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนนักเพราะวันนี้ก็ไม่ได้จะออกไปไหนอยู่แล้ว เมื่อจัดของเสร็จแล้ว พิ้งค์จึงยืนชื่นชมห้องใหม่ของตนอยู่พักหนึ่ง แม้จะสงสัยอย่างที่นุชบอกว่าเหตุใดค่าเช่าจึงถูกนักแต่เธอก็ไม่คิดที่จะสนใจเท่าไหร่

เธอเดินไปเปิดม่านออกเผยให้เห็นวิวรอบๆ หอพัก ห้องของพิ้งค์อยู่ริมสุดและอยู่ชั้นบนสุด ดังนั้นจึงสามารถมองทิวทัศน์ได้โดยรอบ พิ้งค์พึงพอใจกับหอพักแห่งนี้มากพอตัวเลยทีเดียว ทั้งค่าเช่าที่ราคาเป็นมิตรและสภาพห้องที่กว้างขวาง แม้จะอยู่เปลี่ยวไปเสียหน่อย

เมื่อยืนดูทิวทัศน์จนพอใจแล้ว พิ้งค์ก็เดินมาเปิดโน๊ตบุ๊คเล่นจนถึงเย็น เธอละสายตาออกจากจอเมื่อรู้ว่าในขณะนี้เป็นเวลาที่เย็นมากแล้วและเธอควรจะลงไปหาอะไรทานเสียหน่อย เมื่อคิดได้ดังนั้นพิ้งค์จึงเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์และออกมาจากห้อง

พิ้งค์เดินมาซื้อข้าวกล่องที่ร้านขายอาหารตามสั่งหน้าปากซอยและเดินเลยไปซื้อขนมที่ตลาดหลังมหาวิทยาลัย เมื่อได้ของที่อยากรับประทานแล้วจึงเดินกลับหอ พิ้งค์ค่อยๆเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆจนถึงชั้นหก เนื่องจากหอแห่งนี้ไม่มีลิฟต์

ครืด..ครืด..ครืด..

เมื่อเดินมาถึงชั้นห้า เสียงแปลกประหลาดคล้ายคนกำลังลากอะไรบางอย่างอยู่ก็ดังขึ้นมา พิ้งค์หันซ้ายหันขวาเพื่อหาต้นตอของเสียง แต่ที่ชั้นห้านี้ดูเหมือนจะไม่มีใครมาเช่าอยู่เลย

แล้วเสียงนี้มาจากไหนกัน…

พิ้งค์เดินขึ้นบันไดต่อไปเรื่อยๆ เขาเลิกให้ความสนใจกับเสียงที่ได้ยิน และเมื่อเดินมาถึงชั้นหกซึ่งเป็นชั้นบนสุดนั้นเขาก็ต้องพบกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังลากถุงดำใบใหญ่ออกมาจากห้อง ซึ่งห้องของคนผู้นั้นอยู่ข้างๆห้องของพิ้งค์เสียด้วย

พิ้งค์ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้แต่กลับได้รับเพียงความเฉยชากลับมา เมื่อพิ้งค์กำลังจะเดินผ่านห้องนั้นเพื่อไปยังห้องของตนที่อยู่ริมสุด ผู้หญิงคนนั้นก็รีบปิดประตูทันทีราวกับกลัวว่าเธอจะรู้เห็นอะไรด้านใน พิ้งค์ที่ไม่ใคร่รู้เรื่องคนอื่นนักก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เธอเพียงแค่เดินผ่านและเข้ามาภายในห้องของตน

.
.
.

มื้อเย็นของพิ้งค์จบลงหลังจากที่เธอทานข้าวกะเพราหมูกรอบที่ซื้อมาจนหมด พิ้งค์จัดการเก็บกวาดแล้วจึงไปอาบน้ำ สายน้ำจากฝักบัวทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา พิ้งค์เทแชมพูใส่ฝ่ามือก่อนจะชโลมลงบนศีรษะ

กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา…

เสียงแปลกประหลาดคล้ายบทสวดดังมาจากห้องข้างๆ พิ้งค์ชะงักมือที่กำลังสระผม บทสวดนี้ถ้าพิ้งค์จำไม่ผิด…นี่มันเหมือนกับบทสวดที่ไว้สวดในงานศพเลยไม่ใช่หรือ

กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัสมิง สะมะเย กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง….

บทสวดนั้นยังคงดังก้องอยู่ พิ้งค์รู้สึกถึงหัวใจของตนเองที่เต้นระรัว บทสวดนี้นอกจากจะเป็นบทสวดในงานศพแล้ว เสียงที่กำลังสวดอยู่ก็เป็นเสียงผู้หญิง ม่ใช่เสียงของพระสงฆ์อย่างที่ควรจะเป็น พิ้งค์ยืนอยู่นิ่งๆสักพักบทสวดบทนี้ก็จบลงไป พิ้งค์ยังคงยืนอยู่กับที่ราวถูกมนต์สะกด เมื่อยืนดูท่าทีสักพักแล้วไม่มีเสียงบทสวดอีกพิ้งค์จึงเริ่มอาบน้ำต่อด้วยความรวดเร็ว เธออยากจะทักไลน์ไปเล่าเรื่องราวที่เพิ่งประสบมาให้แก่นุชฟังเหลือเกิน

พิ้งค์หยิบเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงหัวเตียงขึ้นมา กดเข้าแอปพลิเคชั่นสำหรับสนทนากับเพื่อนก่อนจะส่งข้อความไปถึงนุช… แต่หลังจากนั้นไม่นาน บทสวดที่พิ้งค์ไม่รู้จักก็ดังขึ้นมาอีกหน คราวนี้เป็นบทสวดที่ดูแปลกประหลาดมากทีเดียวและเสียงที่สวดนั้นก็เป็นเสียงผู้หญิงคนเดิมไม่ผิดแน่

พิ้งค์ใจสั่นระรัว เธอส่งข้อความไปถึงนุชอีกครั้งและอีกครั้งแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่อ่าน บทสวดแปลกประหลาดดังมาถึงห้องของเขา พิ้งค์นึกสงสัยว่าห้องอื่นๆไม่ได้ยินหรือแต่เมื่อนึกดูดีๆแล้วทั้งชั้นนี้ก็คงมีเพียงแค่ห้องของเธอและห้องข้างๆเท่านั้น

ปล่อยไว้ไม่นานเสียงบทสวดจากห้องข้างๆ ก็เงียบลง พิ้งค์นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงรอดูท่าทีว่าจะมีเสียงอะไรแปลกๆ ดังมาอีกหรือเปล่า เมื่อเวลาผ่านไปราวสามสิบนาทีแล้วยังไม่มีเสียงเธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

เสียงแชทดังขึ้นมา เป็นข้อความจากนุชนั่นเอง นุชบอกให้เธอใจเย็นๆและเอ่ยชวนไปนอนห้องของนุช พิ้งค์อยากจะตอบตกลงแต่ความเกรงใจมันก็มีมากเกินกว่าความกลัว บางทีห้องข้างๆ เธออาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ อาจจะแค่สวดมนต์บูชาพระก็ได้

แต่พิ้งค์ลืมคิดไปรือเปล่า…ว่าใครจะสวดมนต์แปลกประหลาดแบบนี้บูชาพระกัน?

.
.
.

เสียงสวดมนต์แปลกประหลาดไม่ได้มีแค่เพียงวันแรกที่พิ้งค์เข้ามาอยู่หอนี้ เธอค้นพบว่าผู้หญิงข้างห้องของเธอมักจะสวดมนต์เป็นประจำและเป็นบทสวดเดิมๆ ทุกวันเสียจนพิ้งค์ชินชา เธอบอกกับตัวเองว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะสวดมนต์เป็นกิจวัตรประจำวันและบทที่เธอคิดว่าแปลกประหลาด จริงๆ แล้วอาจจะเป็นเพียงแค่บทสวดที่เธอไม่รู้จัก แต่สิ่งหนึ่งที่พิ้งค์สังเกตก็คือผู้หญิงข้างห้องนั้นไม่เคยตั้งนะโมก่อนเริ่มสวดเลย

นุชยังคงทักมาถามพิ้งค์อยู่ตลอดว่าเป็นอย่างไรบ้าง แรกๆ เธอเอ่ยเล่าถึงความกังวลเกี่ยวกับบทสวดที่ได้ยินให้นุชฟังแต่หลังๆ เมื่อพิ้งค์เริ่มปรับตัวได้ เธอจึงตอบกลับนุชไปด้วยท่าทีสบายๆว่ าไม่มีอะไรหรอก

“อยู่มาเกือบเดือน ผู้หญิงข้างห้องแกยังสวดมนต์ทุกคืนไม่เว้นเลยหรอ” นุชกล่าว

“ใช่” พิ้งค์ตอบ “แต่ไม่มีอะไรหรอกน่า”

“ฉันว่ามันแปลกมากนะ”

“แกคิดมากไปน่ะสิ”

“ฉันว่าแกก็ควรคิดมากบ้างนะ” นุชว่า พิ้งค์พยักหน้ารับ เธอเข้าใจว่าเพื่อนเป็นห่วงแต่เขาไม่คิดว่าจะมีอะไรจริงๆ

เย็นวันนั้นหลังจากที่กลับจากมหาวิทยาลัย พิ้งค์กับนุชและเพื่อนอีกสองคนชวนกันไปทานชาบูร้านดังที่หน้ามหาวิทยาลัย เมื่อทานเสร็จแล้วจึงแยกย้ายกันกลับ พิ้งค์แวะเดินซื้อขนมที่ตลาดหน้ามหาวิทยาลัยกลับไปทานที่ห้อง กว่าจะซื้อเสร็จและกลับถึงหอก็ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว

พิ้งค์เดินขึ้นบันไดขึ้นหอไปเรื่อยๆ มีหยุดพักบ้างเพราะเหนื่อยจนกระทั่งมาถึงห้องของตน เธอพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำก่อนจะนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาราวเที่ยงคืน เมื่ออ่านจนสมองไม่สามารถรับความรู้เข้าไปได้อีกแล้วเธอจึงตัดสินใจไปนอน

พิ้งค์นอนเล่นโทรศัพท์เพื่อเช็คโซเชียลมีเดีย ระหว่างนั้นเธอก็คิดขึ้นมาได้ว่าวันนี้เธอยังไม่ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังมาจากห้องข้างๆ เลย

หรือผู้หญิงคนนั้นจะไม่อยู่ห้อง? พิ้งค์ตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมา

“คงไม่อยู่จริงๆนั่นแหละมั้ง” เธอพึมพำกับตัวเองก่อนจะปิดไฟและเข้าสู่ห้วงนิทรา

.
.
.

วันต่อมาและวันต่อมาพิ้งค์ก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงสวดมนต์เหมือนเคย เธอคิดว่าเจ้าของห้องคงจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดกระมัง พิ้งค์ละความสนใจออกจากห้องข้างๆ เธอนั่งอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนเมื่อเช้านี้ซึ่งจะมีควิซในการเรียนการสอนครั้งหน้า

จนเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงหกโมงเย็น พิ้งค์จึงละความสนใจออกจากบทเรียนของตนและเตรียมลงไปหาอะไรทาน แต่เมื่อเปิดประตูห้องออกมาเธอก็พบเข้ากับผู้หญิงข้างห้องที่เคยพบ พิ้งค์ส่งยิ้มไปให้และในวันนี้เธอคนนั้นก็ส่งยิ้มตอบกลับมา…แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้น่าขนลุกเหลือเกิน

.
.
.

ผู้หญิงคนนั้นแต่งกายด้วยชุดดำทั้งตัว ที่มือข้างหนึ่งกำลังลากถุงดำออกมาจากห้อง เธอคนนั้นเดินลากถุงดำผ่านหน้าเธอไป พิ้งค์คิดว่าถุงดำนั้นคงจะเป็นถุงขยะภายในห้องกระมังแต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่ได้ทิ้งถุงดำลงไปในถังขยะใบใหญ่ที่ทางหอวางเอาไว้ในแต่ละชั้น แต่กลับเดินลากถุงดำลงบนไดมาเรื่อยๆ พิ้งค์ที่เดินตามลงมาเกิดลังเลในใจว่าจะเข้าไปช่วยดีหรือไม่เพราะดูแล้วถุงดำที่คนนั้นถืออยู่คงจะหนักไม่น้อย

“ให้ช่วยไหมคะ” พิ้งค์เอ่ยถามเสียงสุภาพ

“ไม่ต้อง” หญิงคนนั้นตอบกลับมาเสียงเรียบ พิ้งค์จึงเดินตามเธอลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงชั้นล่างสุด ผู้หญิงคนนั้นรีบเดินเอาถุงดำไปบริเวณด้านหลังหอที่มีต้นไม้รกชัฏ ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มก่อตัวขึ้นมาภายในใจของพิ้งค์ เธอจึงแอบเดินตามไป

ที่บริเวณด้านหลังหอ พิ้งค์เห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังใช้จอบที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนขุดดินอย่างเร่งรีบ โยนถุงดำลงไปในหลุมขนาดไม่ใหญ่นักก่อนจะกลบดินฝัง พิ้งค์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงต้องทำลับๆล่อๆ เช่นนี้ หรือนั่นจะไม่ใช่ถุงขยะอย่างที่เธอคิด

ดวงตาของพิ้งค์สบเข้ากับดวงตาดำขลับที่ดูเหมือนจะไร้แววตาของผู้ที่เพิ่งขุดหลุมฝังถุงดำ พิ้งค์สะดุ้งสุดตัว ผู้หญิงคนนั้นรู้แล้วว่าเธอแอบเดินตามมา พิ้งค์หันหลังกลับเดินออกไปด้วยท่าทีสบายๆ ทำทีเหมือนว่าเธอไม่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่แม้ในใจเธอจะเต้นระรัวด้วยความหวั่นเกรงก็ตาม

พิ้งค์เดินกลับหอหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ วันนี้เธอไม่ได้ซื้อไปกินที่ห้องด้วยกลัวว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะยังอยู่ที่เดิมหรือดักรอเธอก็ได้ ความสงสัยยังคงตีรวนอยู่ในใจ สองเท้าของเธอเดินขึ้นบันไดกลับไปห้องอย่างระแวง ผู้หญิงคนนั้นจะมีอะไรปิดบังอยู่หรือไม่ หรือจริงๆ แล้วอาจจะไม่มีอะไรเลย เมื่อเดินขึ้นมาถึงชั้นหก พิ้งค์กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างหวั่นใจ เมื่อเห็นว่าประตูทุกบานปิดสนิท โดยเฉพาะห้องข้างๆ ของเธอ พิ้งค์จึงถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเดินไปยังห้องของตน

คืนนี้เป็นอีกหนึ่งคืนที่พิ้งค์ไม่ได้ยินเสียงสวดมนต์แปลกประหลาด จากที่ไม่เคยคิดอะไรตอนนี้ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในหัวของพิ้งค์ ภาพผู้หญิงข้างห้องของเธอที่ขุดดินฝังถุงดำนั้นยังคงติดอยู่ในหัว คำถามที่ว่าเหตุใดผู้หญิงคนนั้นจึงทำเช่นนั้นยังคงเป็นคำถามที่เข้าถามตนเองเป็นรอบที่สิบ

เช้าวันรุ่งขึ้นพิ้งค์ตื่นมาแต่งตัวไปเรียนและกลับห้องมาเมื่อเวลาล่วงมาถึงตอนเย็น เธอเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นหก และวันนี้เธอก็พบเข้ากับหญิงข้างห้องกับถุงดำเช่นเมื่อวาน ต่างกันเพียงแค่วันนี้มีกลิ่นเหม็นเน่าคล้ายว่ามีสัตว์ตายอยู่ในห้องข้างๆ ของเธอ ผู้หญิงคนนั้นรีบปิดประตูห้องจนเกิดเสียงดังเมื่อพิ้งค์เริ่มทำท่าว่าเหม็นกลิ่นอะไรสักอย่าง

พิ้งค์เผลอจ้องมองด้วยความสงสัย ผู้หญิงคนนั้นรีบเดินลากถุงดำลงบันไดไปและถ้าจมูกห้องพิ้งค์ไม่ผิดเพี้ยน เธอว่าเธอได้กลิ่นเหม็นเน่ามาจากถุงดำใบนั้นด้วย เธอยืนชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะเดินตามลงไปดีไหม นี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอแต่ความสงสัยมันก็ตีตื้นขึ้นมาในใจ ถ้าหากว่าผู้หญิงคนนั้นทำอะไรผิดกฎหมายขึ้นมาล่ะจะทำอย่างไร ถ้าเธอตามไปเธอจะได้รับผลกระทบอะไรด้วยหรือไม่ ในที่สุดความกลัวก็มีมากกว่าความอยากรู้ เธอจึงเดินเข้าห้องของตัวเองไป และในคืนนั้นเองก็นับเป็นอีกคืนที่เธอไม่ได้ยินเสียงสวดมนต์แปลกประหลาดจากห้องข้างๆเธอ

.
.
.

วันต่อมาพิ้งค์ใช้ชีวิตประจำวันดั่งเช่นเมื่อวาน แต่ในระหว่างที่เธอกำลังเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องของตัวเองนั้นเธอก้าวขึ้นแต่ละขั้นด้วยหัวใจที่เต้นรัวราวกับกำลังลุ้นโชค เธอเดินขึ้นมาจนถึงชั้นหกและเมื่อไม่เห็นผู้หญิงข้างห้อง เธอจึงเบาใจขึ้นมาเล็กน้อย พิ้งค์กำลังจะเดินผ่านห้องของผู้หญิงคนนั้นเพื่อไปยังห้องของตน

ปัง!

เสียงประตูถูกเปิดออกอย่างแรงจนเกิดเสียงดังลั่น พิ้งค์สะดุ้งพลางหันไปมองทางต้นเสียง เป็นผู้หญิงคนนั้นเอง เธอเดินลากถุงดำออกมาเช่นเคยหากแต่วันนี้มันกลับดูเหมือนเปื้อนเลือดอยู่ด้วย พิ้งค์เผลอจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายอย่างตกใจ แต่ดวงตาดำขลับที่แทบจะไร้ประกายสดใสภายในตาก็ทำให้เธอรู้สึกหนาวๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านหน้าเธอไปพร้อมกับลากถุงดำไปด้วย แต่วันนี้มันกับมีของเหลวสีแดงเปรอะเปื้อนไปตามทาง พิ้งค์รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือเลือด เธอยืนนิ่งจนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นลากถุงดำลงไป

พิ้งค์หันไปมองประตูห้องที่วันนี้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ปิดดังเช่นทุกวัน ความกลัวทวีขึ้นในหัวใจและความอยากรู้อยากเห็นก็เช่นกัน เธอออยากจะเดินเข้าไปดูเหลือเกินว่าในนั้นมีอะไรบ้าง แต่จิตใจอีกด้านกลับเตือนเธอว่านี่ไม่ปลอดภัย แต่วันนี้ความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นของเธอมันมีมากกว่าความกลัวเนี่ยสิ

พิ้งค์ค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องของผู้หญิงคนนั้น คิดว่าจะเดินเข้ามาดูสักนิดและรีบกลับห้องของตนเองก่อนเจ้าของห้องนี้จะกลับมา และเมื่อเธอเดินเข้ามาข้างในก็ต้องพบกับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปหมด ภายในห้องมีโต๊ะหมู่บูชา…ไม่สิ นี่ไม่ใช่โต๊ะหมู่บูชา แต่เป็นโต๊ะที่จัดวางคล้ายโต๊ะหมู่แต่บนแท่นแต่ละอันนั้นกลับมีของจำพวกมนต์ดำวางอยู่แทน ราวกับถูกมนต์สะกด พิ้งค์เดินเข้าไปลึกขึ้นก่อนจะพบว่าที่พื้นมีการวาดสัญลักษณ์แปลกๆที่เธอไม่เคยเห็น มันถูกวาดขึ้นด้วยเลือดและบนกำแพงประกอบไปด้วยศีรษะของสัตว์นานาชนิดตั้งแต่เล็กอย่างหนูไปจนถึงหัวของแมวและสุนัขถูกแขวนเอาไว้อยู่

หัวสุนัขดูจะเพิ่งเริ่มเน่าในขณะที่หัวสัตว์อื่นๆก่อนหน้าเหม็นเน่าจนชวนอาเจียน พิ้งค์รู้สึกพืดพะอมกับภาพตรงหน้า หัวใจเธอสั่นแรงด้วยความกลัว สองเท้าของพิ้งค์กลับหลังหันและเตรียมจะเดินออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด

แต่น่าเสียดายที่เธอคงจะไม่ได้ออกไปดั่งหวัง

ภาพตรงหน้าเมื่อพิ้งค์กลับหลังหันมานั้นคือร่างของผู้หญิงข้างห้องคนนั้นที่ยืนยิ้มราวกับสตินั้นล่องลอยไปเสียแล้ว

“ขอโทษที่เข้ามาค่ะ ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้” พิ้งค์เอ่ย พยายามทำเสียงให้เรียบที่สุดแต่มันก็ยังคงสั่นอยู่ดี

“ฉันคงให้ออกไปไม่ได้หรอก” หญิงคนนั้นพูดเสียงเย็น เย็นเสียจนร่างของพิ้งค์สั่นสะท้าน “พวกสอดรู้ ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น”

“ขอโทษค่ะ” พิ้งค์เอ่ย “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะสอดรู้”

“แต่ก็สอดรู้จนได้” หญิงคนนั้นเอ่ยพลางเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ “เสียใจด้วยนะ ไม่เคยมีใครนอกจากฉันที่เข้ามาในห้องนี้แล้วได้กลับออกไป”

“หมายความว่าอย่างไรกัน”

“ก็หมายความว่าแกก็จะไม่ได้ออกไปด้วยยังไงล่ะ” หญิงคนนั้นเอ่ย “หรืออาจจะได้กลับตอนฉันเอาร่างแกไปฝัง แต่แน่นอนว่าหัวของแกจะต้องอยู่ที่นี่นะ”

น้ำเสียงที่เอ่ยอย่างราบเรียบกับการเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทำให้พิ้งค์ต้องเดินถอยหลังอย่างหวาดหวั่น

“กำลังคิดอยู่เชียวว่าจะเอาสัตว์อะไรที่ใหญ่กว่าหมามาทำพิธีครั้งต่อไปดี ลองเปิดประตูล่อแกเล่นๆไม่คิดว่าจะเข้ามาจริงๆ เพราะความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆเลยนะ”

“คุณจะทำอะไร”

“สังเวยสัตว์ให้ซาตาน” หญิงคนนั้นเอ่ยเสียงเรียบ “พวกคนที่อยู่ชั้นหกนี่ต่างก็สงสัยกันทุกคนว่าสัตว์เลี้ยงของตัวเองหายไปไหนจนย้ายออกไปจนหมด พวกชั้นห้าก็ด้วย ตอนเห็นแกเข้ามาอยู่ห้องข้างๆบอกตามตรงว่าฉันตื่นเต้นไม่น้อยเชียวล่ะ เพราะจะได้หาเหยื่อใหม่ๆมาได้และไม่คิดด้วยว่าคราวนี้จะได้สัตว์อย่างมนุษย์มาสังเวย ซาตานคงจะชอบไม่น้อย”

“ซาตานไม่มีจริงสักหน่อย” พิ้งค์เอ่ยเสียงสั่น

“มีสิ! ทำไมจะไม่มี!” หญิงคนนั้นตะโกนพลางเข้ามาประชิดตัวเธอมากขึ้น

“ไม่มี”

“มี!!” หญิงสาวคนนั้นตะโกน พิ้งค์พยายามจะวิ่งแทรกตัวหนีไปแต่ก็ถูกขัดขวาง

“ช่วยด้วยค่ะ!! ช่วยด้วย!!” พิ้งค์ตะโกนสุดเสียง

“ไม่มีใครได้ยินเสียงแกหรอกเพราะหอนี้ไม่มีคนเช่าแล้วนอกจากแกกับฉัน ไม่เคยได้ยินเรื่องอาถรรพ์ของหอนี้หรือไง ไม่มีใครอยู่ได้หรอก มีเพียงทาสรับใช้ซาตานผู้ซื่อสัตย์อย่างฉันเท่านั้นถึงอยู่ได้”

“ไม่! ซาตานไม่มีจริง!!” พิ้งค์ออกแรงผลักผู้หญิงที่เธอคิดว่าเสียสติไปแล้วให้พ้นทางก่อนจะวิ่งไปที่ประตู อีกนิดเดียว…อีกนิดเดียวเท่านั้นเธอก็จะหลุดออกไปจากห้องนี้ เธอจะรีบวิ่งไปยังหอข้างๆที่อยู่ใกล้ๆกันเพื่อขอความช่วยเหลือและจะแจ้งตำรวจ…เธอจะต้องหนีออกไปให้ได้

“อั่ก!” พิ้งค์ร้องออกมาเมื่อถูกของแข็งชนิดหนึ่งฟาดลงมาบริเวณท้ายทอย สติของเธอค่อยๆดับวูบลงไป สองมือของพิ้งค์ยื่นออกไปด้านหน้าซึ่งก็คือประตูอย่างมีความหวัง…ใครก็ได้ช่วยเธอที ช่วยเธอออกไปจากที่แห่งนี้ที

หญิงสาวผู้เสียสติยืนมองร่างของผู้ที่สลบอยู่ที่พื้นก่อนจะค่อยๆแสระยิ้มและยิ้มออกมาอย่างร่าเริง เธอลากร่างของพิ้งค์ที่ไม่ได้สติมาวางที่กลางห้องก่อนจะจัดการเตรียมของต่างๆสำหรับบูชายัญให้พิ้งค์ไปเป็นทาสของซาตาน…และซาตานคงจะพอใจกับของสังเวยชิ้นนี้ไม่น้อย

เสียงหัวเราะของคนเสียสติดังไปทั่วทั้งจันทร์หอม อพาร์ทเม้นท์ ราวกับว่าค่ำคืนนี้คงจะเป็นคืนที่น่าหฤหรรษ์เหลือเกินของเจ้าของเสียงหัวเราะ

Exit mobile version